อัคราฯเห็นโอกาสกลับมาเปิดเหมืองแร่ทองคำต่อ หลัง“อรรชกา” ยอมรับหารือซีอีโอจากออสเตรเลียในสัปดาห์หน้า พร้อมทั้งมีมติครม.ที่กลับลำมาหนุน ยันฟ้องศาลฯ เป็นหนทางสุดท้าย แต่หากเจรจายังไม่ได้ข้อยุติ ดำเนินการฟ้องแน่ก่อนที่ใบอนุญาตประกอบกิจการโลหกรรมจะสิ้นสุดในสิ้นปีนี้
นายสิโรจ ประเสริฐผล ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินงานของบริษัทภายหลังที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติยุติการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำและประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำรวมถึงคำขอต่ออายุประทานบัตรทั่วประเทศ และให้ต่อใบอนุญาตกิจการโลหกรรม หรือโรงถลุงแร่ของบริษัทออกไปจนถึงสิ้นปีนี้เท่านั้น ซึ่งขณะนี้ทางฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อกฎหมาย ถึงเหตุผลของรัฐบาลในการสั่งปิดเหมืองแร่ทองคำในจังหวัดพิจิตร เป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการร้องขอความเป็นธรรมต่อไป
โดยที่ผ่านมาทางบริษัทได้ส่งหนังสือขออุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งต่ออายุใบอนุญาตประกอบโลหกรรมไปกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่(กพร.) แล้ว เพื่อขอความเป็นธรรมและชี้แจงเหตุผลที่แท้จริง ถึงการไม่ต่อใบอนุญาตประกอบโลหกรรมออกไปเป็นระยะเวลา 5 ปี ทั้งที่บริษัทได้ดำเนินการตามระเบียบ ข้อกฎหมายอย่างถูกต้องทุกอย่าง แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบกลับมา
ส่วนบริษัทจะดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลปกครองหรือไม่นั้น คงเป็นหนทางสุดท้าย เนื่องจากบริษัทต้องการให้มีการเจรจาหาทางออกในเรื่องนี้ก่อน และก็มีสัญญาณที่ดีที่ภาครัฐจะเจรจาด้วย จากที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเปิดโอกาสให้บริษัทชี้แจงแต่อย่างใด โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาทางกพร.ได้เปิดโอกาสให้นายเกรก ฟาวลิสประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัครารีซอร์สเซส จำกัด(มหาชน) จากออสเตรเลียถือหุ้นอยู่ในบริษัท 48% เข้าชี้แจงและทราบเหตุผลแล้ว และในสัปดาห์หน้าก็จะมีการเข้าหารือกับดร.อรรชกา สีบุญเรืองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ การเข้าหารือดังกล่าว บริษัทต้องการให้ทั้งภาครัฐและบริษัทมีความเข้าใจที่ตรงกัน และเหตุผลที่แท้จริงในการไม่ต่อใบอนุญาตประกอบกิจการโลหกรรม รวมทั้งการต่อประทานบัตรในการทำเหมือง ซึ่งหากภาครัฐไม่มีความสบายใจ จากการต่อใบอนุญาตออกไปอีก5 ปี ก็ควรจะเสนอทางออกให้กับบริษัทว่าจะต้องไปดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
นายสิโรจ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้มีประกาศยกเลิกมติครม.เมื่อวันที่ 10พฤษภาคม ที่ผ่านมา เรื่องรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการแก้ปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จากการทำเหมืองแร่ของบริษัท และให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบต่างๆที่เกี่ยวข้องนั้น ทางบริษัทก็เห็นว่าเป็นสัญญาณที่ดี ในการหาทางออกที่จะให้มีการเปิดเหมืองแร่ทองคำในจังหวัดพิจิตรดำเนินการต่อไปได้ เพราะที่ผ่านมาทางภาครัฐเองก็มีหนังสือยืนยันว่า ในการขอใบอนุญาตต่างๆ ดำเนินการอย่างถูกขั้นตอน ในขณะที่การพิสูจน์ข้อเท็จจริงผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ทางกระทรวงอุตสาหกรรม ก็ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่ยอมรับ เข้ามาศึกษาและสรุปผลออกมาแล้วว่าไม่พบปริมาณสารโลหะหนักในร่างกายเกินกว่าที่มาตรฐานกำหนด
ดังนั้น เมื่อการดำเนินตามขั้นตอนทางกฎหมายทุกขั้นตอนทุกอย่าง ทางบริษัทจะอาศัยจุดนี้เจรจากับทางภาครัฐก่อน แต่การเจรจาก็จะมีกรอบเวลาที่บริษัทกำหนดไว้ ซึ่งหากไม่ได้ข้อยุติบริษัทก็จะต้องดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลปกครองก่อนที่ใบอนุญาตประกอบกิจการโลหกรรมจะหมดอายุสิ้นปีนี้อย่างแน่นอนเพราะโอกาสชนะมีอยู่สูงมาก แต่ที่ยังไม่ดำเนินการตอนนี้ เพราะเห็นว่าการเจรจายังมีทางออก ดีกว่าจะไปเสียเวลาและต้องใช้เงินจำนวนมาก
นางฉัตรพร ราษฏร์ดุษดี ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัท อัคราฯได้มอบเงินกองทุนพัฒนาท้องถิ่นจำนวน 45 ล้านบาท ให้กับ 3จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากการปิดเหมืองจัดทำศูนย์เพื่อส่งเสริมอาชีพ โดยเฉพาะทางการเกษตรภายในพื้นที่ ขณะเดียวกันด้านการเยียวยาสุขภาพ ซึ่งจังหวัดประเมินว่า ต่อหัวค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงหากของบประมาณเพิ่มเติม ดังนั้นทางออกจะใช้งบประมาณปกติ โดยให้สาธารณสุขแต่ละพื้นที่เข้ามารับตรวจสุขภาพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบแทน ส่วนบริษัทจะหาข้อเท็จจริงว่าเหมืองไม่ใช่ต้นเหตุทำให้เกิดผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนในพื้นที่นั้น จังหวัดมองว่า บริษัทต้องหาหลักฐานมายืนยันเพราะถึงอย่างไร รัฐบาลก็ยืนยันที่จะปิดเหมืองอย่างแน่นอน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,166 วันที่ 16 - 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559