สุขุมพันธ์บูมสายสีเขียวใต้ เดินรถฟรีแบริ่ง-สำโรงธ.ค.นี้/เปิดใช้1มี.ค.60

11 ก.ค. 2559 | 01:00 น.
“สุขุมพันธุ์”บูมสายสีเขียวใต้ทิ้งทวนตำแหน่งผู้ว่าฯกทม. ดีเดย์ธันวาคมปีนี้ทดลองเดินรถฟรีสถานีแบริ่ง-สำโรง มั่นใจ 1 มีนาคมปี 60 เปิดบริการเชิงพาณิชย์ ส่วนค่าโดยสารยังไม่สรุป ด้านบีทีเอสพร้อมให้ใช้รถ 15 ขบวนคาดผู้โดยสารเพิ่มไม่น้อยกว่า 1.5-2 แสนเที่ยวคนต่อวัน ส่วนกูรูอสังหาฯเผยราคาที่ดินแบริ่ง-สมุทรปราการไม่คึกคัก ผลจากเศรษฐกิจชะลอตัว

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม และติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการว่า ในเดือนธันวาคมนี้ จะเปิดทดลองเดินรถฟรี 1 สถานี จากสถานีแบริ่ง-สถานีสำโรง จากนั้นวันที่ 1 มีนาคมปี 2560 จะให้บริการเชิงพาณิชย์ ส่วนการเดินรถตลอดทั้งเส้นทางแบริ่ง-สมุทรปราการนั้นคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี2561 ส่วนอัตราค่าโดยสารทั้งเส้นทางนั้นจะขอพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง พร้อมกับเรื่องการลงทุนด้านอื่นที่เกี่ยวเนื่อง โดยแนวคิดค่าโดยสารอาจจะแบ่งจัดเก็บเป็นพื้นที่หรือทั้งแนวเส้นทาง ทั้งนี้จะประกาศพร้อมกันเพื่อไม่ให้ผู้โดยสารเสียค่าเข้าระบบซ้ำซ้อน

ด้านนายทวีศักดิ์ เลิศประพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง(สจส.) กล่าวว่า ปัจจุบันการก่อสร้างมีความคืบหน้างานโยธาแล้ว 88.74% และงานระบบรางดำเนินการแล้ว 89.40% ส่วนภาพรวมของการก่อสร้างดำเนินการแล้ว 88.85% งานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ ระบบไฟฟ้า การสื่อสาร กทม. มอบหมายให้บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เป็นผู้ดำเนินโครงการ

"เมื่อเปิดให้บริการคาดว่าจะเพิ่มปริมาณผู้โดยสารให้รถไฟฟ้าบีทีเอสได้กว่า 1.5-2 แสนเที่ยวคนต่อวันสำหรับเส้นทางช่วงดังกล่าวนี้ซึ่งบีทีเอสยืนยันพร้อมให้บริการช่วงสถานีแบริ่ง-สถานีสำโรงโดยจะใช้รถจำนวน 15 คันให้บริการในเส้นทางและใช้ระบบตั๋วร่วมจากที่บีทีเอสให้บริการได้ทันที และในอนาคตสถานีสำโรงจะเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ด้วย"

ด้านนายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแตนท์ จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์และราคาที่ดินช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการว่า ไม่ค่อยคึกคักเหมือนที่ผ่านมา สืบเนื่องจากภาวะที่ชะลอตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอสังหาฯในพื้นที่สมุทรปราการที่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมมีกำลังซื้อไม่สูงรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 1-2 หมื่นบาท โดยสินค้าในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮ้าส์ระดับราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท

โดยโครงการที่มีจำนวนหน่วยขายในพื้นที่มากที่สุดในพื้นที่สมุทรปราการเป็นของการเคหะแห่งชาติ ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 4-5 แสนบาทต่อหน่วย และบริษัท เจ. เอส. พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ในโครงการคอนโดมิเนียม เดอะ ไมอามี บางปู จำนวน 90 อาคาร 5,010 หน่วย ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 9 แสนบาท สำหรับราคาที่ดิน พบว่า มีการปรับเพิ่มขึ้นประมาณเท่าตัว นับตั้งแต่มีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมทุรปราการ จากเดิมราคาที่ดินริมถนนอยู่ที่ประมาณ 2-3 หมื่นบาทต่อตารางวา เป็น 4-5 หมื่นบาทต่อตารางวา ผู้ซื้อส่วนใหญ่มักซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะยาว มากกว่าซื้อเพื่อพัฒนาโครงการทันที เนื่องจากมองว่าหากโครงการรถไฟฟ้ามีการเปิดใช้อย่างเป็นทางการราคาที่ดินจะเพิ่มมากขึ้นเหมือนดังเช่นรถไฟฟ้าสายอื่นๆ

"แม้ว่ารถไฟฟ้าจะก่อสร้างแล้วเสร็จก็เชื่อว่าตลาดคอนโดมิเนียมก็จะไม่ค่อยหวือหวาเหมือนอย่างพื้นที่ที่ใกล้กรุงเทพฯ เนื่องจากราคาที่ดินยังสามารถพัฒนาโครงการแนวราบได้ แต่เมื่อไหร่ที่ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นจนไม่สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบได้ ตลาดคอนโดมิเนียมก็จะมาแทนที่ในที่สุด"นายวสันต์ กล่าว

ในส่วนของพื้นที่แบริ่ง-สำโรง ถือว่าตลาดอสังหาฯมีความคึกคักมากกว่า แต่ก็เริ่มชะลอตัว โดยที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อหน่วย ขณะที่คอนโดมิเนียมในซอยขนาด 8 ชั้น ราคาไม่ถึง 2 ล้านบาท ในส่วนของราคาที่ดินพบว่ามีการปรับขึ้นแบบเท่าตัวเช่นเดียวกันในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เดิมราคาที่ดินริมถนนอยู่ที่ 5-6 หมื่นบาทต่อตารางวา ปัจจุบันขยับขึ้นเป็น 1.5-2 แสนบาทต่อตารางวา สำหรับที่ดินในซอยจะอยู่ที่ประมาณกว่า 1 แสนบาท ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าหากราคาขายคอนโดมิเนียมในพื้นที่แบริ่งมากกว่า 1 แสนบาทต่อตารางเมตร ในขนาด 30 ตารางเมตร ก็เชื่อว่าตลาดคอนโดมิเนียมจะขยายตัวสู่พื้นที่รอบนอกเพิ่มมากขึ้น

อนึ่ง จากข้อมูลของฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัดเกี่ยวกับตลาดคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ พบว่า ส่วนต่อขยายแบริ่ง – สมุทรปราการ เป็นพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในปี 2557 มีโครงการคอนโดฯเปิดขายมากถึงประมาณ 8,997 หน่วย จากทั้งหมด 7 โครงการ ซึ่งเป็นปีที่มีโครงการคอนโดฯ เปิดขายมากที่สุด ส่วนปี 2558 มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่อีก 4 โครงการจำนวน 5,130 หน่วย รวมแล้วใน 2 ปีนี้มีหน่วยขาย 14,127 หน่วย โดยที่ตลาดคอนโดฯในบริเวณนี้มีอัตราการขายเฉลี่ยกว่า 60% และปัจจุบันมีจำนวนห้องสะสมทั้งหมดที่เปิดขายมาในช่วง 5 – 6 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 15,274 หน่วย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,173 วันที่ 10 - 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559