“ไทยยูเนี่ยน” โชว์แกร่ง Q1 ทำยอด 3.3 หมื่นล้าน กำไรโต 54%

08 พ.ค. 2567 | 06:43 น.

“ไทยยูเนี่ยน” ประเดิมไตรมาสแรกปี 67 ทำยอดขาย 3.3 หมื่นล้าน กำไรสุทธิ 1,200 ล้าน โต 54% หลัง 3 ธุรกิจหลักขยายตัวต่อเนื่อง ลุยลดการปล่อยน้ำทิ้งสู่สาธารณะเป็นศูนย์ มั่นใจแผนยุทธศาสตร์องค์กรสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนระยะยาว

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสแรกปี 2567 มียอดขาย 33,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 17.3% จากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และกลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มและธุรกิจอื่น ๆ

ขณะที่อัตรากำไรสุทธิหลังการปรับปรุงส่วนแบ่งกำไรและผลประโยชน์ทางภาษีจาก Red Lobster แล้ว มีความสามารถในการเติบโตที่ดีถึง 53.9% หรือ 1,200 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อน เป็นผลจากการฟื้นตัวของความต้องการสินค้าในกลุ่มธุรกิจหลัก คือ กลุ่มธุรกิจอาหารกระป๋อง กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และกลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มและธุรกิจอื่น ๆ 

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เผยว่า จากที่ไทยยูเนี่ยนมุ่งให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักในกลุ่มธุรกิจอาหารกระป๋อง, กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง และโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีอัตราการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้กลับมาเติบโตพร้อมสร้างผลกำไรและมูลค่าเพิ่มได้อย่างแข็งแกร่ง

โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาไทยยูเนี่ยนได้แสดงให้เห็นว่าเราสามารถรับมือและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ท้าทายได้รวดเร็วและเป็นอย่างดี ทำให้ธุรกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา และมั่นใจว่าการเดินหน้าในครั้งนี้จะเป็นปัจจัยบวกทำให้ไทยยูเนี่ยนเติบโตอย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง

“ไทยยูเนี่ยน” โชว์แกร่ง Q1 ทำยอด 3.3 หมื่นล้าน กำไรโต 54%

สำหรับผลประกอบการตามกลุ่มธุรกิจในไตรมาสแรก พบว่า กลุ่มธุรกิจอาหารกระป๋อง มียอดขายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 12.7% หรือ 17,156 ล้านบาท ซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 12.7% นี้ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผลจากปริมาณความต้องการสินค้าที่ขยายตัวในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง ยุโรป และสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยบวกทำให้เติบโต ขณะที่อัตราส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจอาหารกระป๋อง ปรับตัวลดลง 16.6%  เนื่องจากการปรับราคาขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบในการผลิต

ในส่วนของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ยอดขายปรับเพิ่มขึ้นถึง 13.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 3,955 ล้านบาท จากการนำกลยุทธ์เพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียมและการปรับปรุงราคาสินค้า ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรขั้นต้นเติบโตอย่างแข็งแกร่งเป็น 25.7% ขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่สองปี 2565  

ส่วนกลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มและธุรกิจอื่น ๆ มียอดขายในไตรมาสแรกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 29.5% และเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีที่แล้วมีอัตราเติบโตดีขึ้น  10.8% ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตมาจากการมีสินค้าที่หลากหลาย

ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง มียอดขายที่ชะลอตัวลง 17.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการสินค้าในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ชะลอตัว ประกอบกับบริษัทฯ มีการปรับลดขนาดการดำเนินธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกาลง โดยสัดส่วนธุรกิจของไทยยูเนี่ยนในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา คิดเป็นอัตรา 38.6% ของรายได้รวมทั้งหมด รองลงมาเป็นยุโรป 29.6% ไทย 10.9% และอื่น ๆ อีก 20.9%

“ไทยยูเนี่ยน” โชว์แกร่ง Q1 ทำยอด 3.3 หมื่นล้าน กำไรโต 54%

เมื่อเปรียบเทียบกำไรสุทธิของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ผ่านมากับกำไรสุทธิที่ปรับปรุงในช่วงเดียวกันปี 2566 นับเป็นการขยายตัวที่ดีและแข็งแกร่ง โดยปัจจัยสำคัญมาจากภาพรวมของทุกกลุ่มธุรกิจที่เติบโตขึ้น แม้ว่าจะมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง ส่วนแบ่งกำไรที่น้อยลง รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และมีค่าใช้จ่ายทางด้านภาษีที่มากขึ้นก็ตาม 

ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงมุ่งมั่นในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานะทางการเงิน ส่งผลให้ไทยยูเนี่ยนมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่เกณฑ์ที่ดี 0.82 เท่า ณ สิ้นไตรมาสแรก ปี 2567 ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับที่บริษัทตั้งเกณฑ์ไว้ และเมื่อต้นปี 2567 ไทยยูเนี่ยนมีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินครั้งที่ 3 ในวงเงินไม่เกิน 3,600 ล้านบาท และไม่เกิน 200 ล้านหุ้น เพื่อแสดงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้น รวมถึงช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้นให้ดีขึ้น โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืนแล้วจำนวน 86 ล้านหุ้น พร้อมตั้งเป้าว่าจะสามารถทำได้แล้วเสร็จตามกำหนดในเดือนมิถุนายน ปี 2567

ไทยยูเนี่ยนยังคงเดินหน้าพันธกิจด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสแรกได้ประกาศความสำเร็จ โครงการลดการปล่อยน้ำทิ้งสู่สาธารณะเป็นศูนย์ (Zero Wastewater Discharge) ในฐานะโรงงานอาหารทะเลต้นแบบที่สร้างมาตรฐานด้านการบริหารจัดการน้ำทิ้งในระบบได้สำเร็จเป็นรูปธรรม 100% และยังได้ร่วมกับ องค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติระดับโลก The Nature Conservancy (TNC) และ บริษัท อาโฮลด์ เดอแลซ สหรัฐอเมริกา (Ahold Delhaize USA) หนึ่งในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกระดับโลก เปิดตัวโครงการนำร่องเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกระบวนการเลี้ยงกุ้ง ตั้งเป้าสร้างการเปลี่ยนแปลงในการเลี้ยงสัตว์น้ำแบบก้าวกระโดดและยั่งยืน

นอกจากนี้บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) ที่เป็นบริษัทในเครือ ยังได้รับการรับรองมาตรฐานอาหารสัตว์ระดับโลกจากองค์กร Aquaculture Stewardship Council หรือ ASC เป็นแห่งแรกในเอเชีย เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในการผลิตอาหารสัตว์อย่างยั่งยืนให้กับภูมิภาคนี้ 

นายธีรพงศ์ กล่าวตอนท้ายว่า มีความมั่นใจแผนยุทธศาสตร์องค์กรเพื่อมุ่งสู่ปี 2573 ของบริษัทจะช่วยเตรียมความพร้อมและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว เพื่อดูแลสุขภาพที่ดีของผู้คน สัตว์เลี้ยง ควบคู่กับการดูแลโลกใบนี้