ทรงวิทย์ ฐิติปุญญา เงินทุนและซัพพลาย คือคีย์ของการทำธุรกิจ

24 มี.ค. 2560 | 01:00 น.
ยอดขายรถยนต์ที่ลดลง ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณธุรกิจ ที่บอกว่า คนยุคใหม่มีความอยากเป็นเจ้าของครอบครองรถน้อยลง แถมระบบขนส่งมวลชนไทยเราก็ขยายตัวมากขึ้น มีรถไฟฟ้าความเร็วสูงเข้ามาเป็นทางเลือก จึงทำให้ธุรกิจรถเช่าขยายตัวมากขึ้น และเป็นช่องทางให้ "ทรงวิทย์ ฐิติปุญญา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเนอร์เจติค ออโต้ เพอร์ฟอร์มานซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ asap (เอแซ็ป) ได้เปิดธุรกิจรถเช่าที่เป็นของคนไทย 100% เมื่อ 11 ปีที่แล้ว ควบคู่กับการเป็นดีลเลอร์โตโยต้า ที่ตอนนี้เขาสามารถทำยอดขายได้เป็นอันดับ 2 ของประเทศแล้ว

การทำธุรกิจของ "ทรงวิทย์" เขาให้ความสำคัญกับทั้ง 2 ธุรกิจที่สร้างขึ้น แต่ช่วงนี้อาจจะอัดเต็มที่หน่อย กับธุรกิจรถเช่า เพราะนอกจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เอแซ็ปก็กำลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 30 มีนาคมนี้ พร้อมมีแผนขยายงานอีกมากมาย ทั้งเรื่องของ "เอแซ็ป ออโต้พาร์ต" ที่กำลังจะเปิดให้บริการ โดยจะมีทั้งศูนย์บริการรถยนต์ บริการขายรถมือสองที่มาจากรถเช่าครบกำหนด และร้านค้าปลีก ที่ถนนกิ่งแก้ว บางนา กม.12 และมีแผนจะสร้างเพิ่มอีก 3 แห่งที่ พัทยา หัวหิน และภูเก็ต

ผู้บริหารหนุ่มคนนี้ ยังมีแนวคิดใหม่ๆ ในการพัฒนาธุรกิจรถเช่าของเขาอย่างต่อเนื่อง โดยนำเรื่องของ Sharing Economy หรือเศรษฐกิจแบ่งปัน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ขยายตลาดรถเช่าระยะสั้น ที่เพิ่งเปิดให้บริการปี 2558 และตอนนี้กำลังวางแผนรุกหนัก เตรียมเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่พร้อมบริการใหม่เดือนเมษายนนี้ ที่คาดว่าจะสร้างความฮือฮาให้กับตลาดเช่ารถยนต์พอสมควรเลยทีเดียว

"ทรงวิทย์" เล่าว่า ตอนที่เขาเข้ามาเริ่มทำธุรกิจนี้ เขาวางเป้าว่า 5 ปีแรกคือการศึกษาเรียนรู้ พร้อมวางรากฐาน ทำธุรกิจให้ครบวงจร โดยชูเรื่องบริการเป็นสำคัญ ดังนั้น พอเริ่มเข้าสู่ 5 ปีต่อมา ธุรกิจของเขาจึงเติบโตแบบก้าวกระโดด
"ตอนเป็นดีลเลอร์ พบว่าลูกค้าที่ซื้อรถ มีการซื้อไปเพื่อทำรถเช่า และคนก็อยากเช่า ก็เลยมองเห็นตลาด ซึ่งต่างประเทศตลาดรถเช่ามีมานานแล้ว และได้รับความนิยมมาก แต่ธุรกิจรถเช่าในเมืองไทย มีจุดอ่อน คือ ขาดเรื่องเซอร์วิสที่ดี ขายรถที่จะเข้ามาซัพพลาย เพราะผู้ทำธุรกิจไม่ได้รับความเชื่อถือจากแหล่งทุน จึงทำให้การขยับขยายอะไรลำบาก"

ดังนั้น เมื่อเขาเข้ามาจับธุรกิจนี้ เขาจึงปิดช่องโหว่ต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องแหล่งเงินทุน ซึ่งเขาได้รับความเชื่อถือจากสถาบันการเงินอยู่แล้ว และยังเป็นดีลเลอร์ขายรถโตโยต้าด้วย ทำให้ปัญหาทั้ง 2 ส่วนถูกแก้ไขไปเรียบร้อย ส่วนเรื่องบริการ นี่คือสิ่งที่เขาเติมเต็ม เขาเลือกใช้กลยุทธ์ รถใหม่ ไมล์น้อย (ทุกคันจะวิ่งไม่เกิน 5 หมื่นกม.) ในการดึงดูดลูกค้ามาใช้บริการ อัตราค่าเช่าเริ่มตั้งแต่ 600-5,000 บาทต่อวัน และยังจับมือกับท่าอากาศยานไทย เปิดให้บริการรถเช่าที่สนามบิน 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, เชียงราย, ภูเก็ต และหาดใหญ่

นอกจากนี้ ยังคิดบริการใหม่ๆ ออกมาเสมอ เช่น "เอแซ็ป ออโต้พาร์ต" และอีกหนึ่งบริการใหม่ที่กำลังจะเปิดเดือนเมษายนนี้ ซึ่งเป็นการนำไอเดียSharing Economy เข้ามาใช้ โดยร่วมกับสตาร์ตอัพกลุ่มหนึ่ง นำเทคโนโลยีลักษณะ Pay Per Use การเช่ารถ ไม่จำเป็นต้อง 1 คันต่อลูกค้า 1 รายใน 1 วันอีกต่อไป ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร คงต้องรอติดตาม

"ทรงวิทย์" บอกว่า หัวใจในการบริหารธุรกิจรถเช่าของเขา คือ ต้องมีความเข้าใจธุรกิจ ต้องจริงจัง ต้องรู้จักที่จะขยายตัว และต้องมีความอดทนที่ผ่านมา เขาแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยความอดทน... ผมทำหน้าที่เหมือนเซลส์ แรกๆ ลูกค้า 40-50 ราย ผมเข้าไปโค้ชเอง เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า จนทำให้ได้ลูกค้ารายใหญ่ อย่าง เทสโก้ โลตัส หลังจากนั้น ก็มีลูกค้ารายอื่นๆ ตามมา จนปัจจุบันมียอดการเช่ารถประมาณ 8,000 คันในช่วงสิ้นปี 2559

เป้าหมายธุรกิจของ "ทรงวิทย์" คือ การเพิ่มสัดส่วนรถเช่าระยะสั้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรถเช่าระยะยาวโดยลูกค้าองค์กรมีประมาณ 95% และรถเช่าระยะสั้นอยู่ที่ 4-5% เขาต้องการขยับสัดส่วนรถเช่าระยะสั้นขึ้นมาเป็น 20% เพราะตอนนี้ตลาดกำลังเปิด นักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาเที่ยวเมืองไทยเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะเดียวกัน คนไทยก็เดินทางโดยสายการบินโลว์คอสต์เยอะขึ้น นี่คือโอกาสทางการตลาดของรถเช่าระยะสั้น และเขายังมีเป้าที่จะนำ"เอแซ็ป ออโต้พาร์ต" ออกไปบุกตลาด CLMV ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

การรุกตลาดไม่หยุด จากการบริหารของ "ทรงวิทย์ ฐิติปุญญา" เชื่อได้ว่า จะทำให้การเติบโตของเอแซ็ปขยายตัวต่อเนื่องอีกแน่นอน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,246 วันที่ 23 - 25 มีนาคม พ.ศ. 2560