‘Central’ ผนึก ‘JD.com’ ทุ่ม 1.7 หมื่นล้าน ท้ารบ ‘Alibaba’ ยึดตลาดออนไลน์

17 ก.ย. 2560 | 04:10 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ย. 2560 | 11:10 น.
กลุ่มเซ็นทรัลจุดพลุการค้าในภูมิภาค ดึง “กลุ่มเจดี” พันธมิตรยักษ์ใหญ่จากจีนลงขัน 1.7 หมื่นล้าน ติดปีกธุรกิจหวังขึ้นแท่นผู้นำอี-คอมเมิร์ซที่มีมูลค่าตลาด 2.52 ล้านล้าน เดินหน้าดันยอดขายออนไลน์เพิ่มเป็น 5%ชิงเค้ก 3.8 แสนล้าน
การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของกลุ่มเซ็นทรัลที่ประกาศความร่วมมือกับ JD.com และ JD Finance หุ้นส่วนอี-คอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ผู้นำด้านฟินเทค สัญชาติจีน ประเดิมร่วมลงทุนในสัดส่วน 50:50 รวมมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือประมาณ 17,000 ล้านบาทเพื่อทำธุรกิจด้านอี-คอมเมิร์ซและฟินเทคในเมืองไทยเขย่าวงการค้าปลีก ช็อปปิ้งและฟินเทคระดับภูมิภาคอยู่ในขณะนี้

 

ความร่วมมือระหว่างกลุ่มเซ็นทรัลและเจดีดอทคอม เป็นก้าวย่างสำคัญของกลุ่มเซ็นทรัลและสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ภาคธุรกิจเมืองไทย โดยนายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ให้เหตุผลในการร่วมมือครั้งนี้ว่า เพราะเซ็นทรัลมีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการค้าปลีกออนไลน์ของไทยอย่างแท้จริง และวันนี้สมาร์ทโฟนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทย แนวโน้มการช็อปปิ้งออนไลน์ก็จะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพและทำให้การช็อปปิ้งผ่านออนไลน์สะดวกยิ่งขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น

 

ที่ผ่านมาเซ็นทรัลมีความแข็งแกร่งในด้านธุรกิจค้าปลีกที่มีเครือข่ายร้านค้า แบรนด์ คู่ค้า และพฤติกรรมผู้บริโภคซึ่งเป็นฐานข้อมูลใหญ่ (บิ๊กดาต้า) และมีความพยายามที่จะเพิ่มประสิทธิ ภาพการทำงานของระบบหลังบ้าน รวมถึงออมนิ แชนเนลและโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการขยายงานในอนาคต ขณะที่รูปแบบความร่วมมือในครั้งนี้จะมีความชัดเจนขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้

 

ขณะที่ความสำเร็จของเจดี แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง และศักยภาพของบริษัท ที่จะเข้ามาช่วยเสริมให้กลุ่มเซ็นทรัล สามารถต่อยอดในตลาดอี-คอมเมิร์ซ และร่วมกันพัฒนาออมนิ แชนเนลในแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซด้วย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้นด้วยศักยภาพของทั้ง 2 บริษัทโอกาสในการก้าวสู่ตลาดเอเชียจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก

P1-3297-A ++E-Business เต็มสูบ
นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้ง บมจ.ออฟฟิศเมท หนึ่งในผู้บุกเบิกอี-คอมเมิร์ซในเมืองไทย และกลุ่มเซ็นทรัลเข้าซื้อกิจการเมื่อปี 2555 กล่าวว่า การเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็วของตลาดออนไลน์เมืองไทย ทำให้ต้องใช้เงินลงทุนสูง บริษัทที่จะลงทุนต้องมีศักยภาพและมีขนาดใหญ่มีรายได้สูงในระดับแสนล้านบาท ขณะที่ซีโอแอลเองมีรายได้ 1.2 หมื่นล้านบาทการจะลงทุนในหลักหมื่นล้านบาทและต้องแบบรับภาระการขาดทุนในระยะแรกจึงเป็นเรื่องยาก ล่าสุดกลุ่มเซ็นทรัลจึงปรับโมเดลธุรกิจพร้อมแยกธุรกิจออนไลน์ออกจากซีโอแอล เพื่อเดินหน้าลงทุนเองเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาธุรกิจสู่การเป็น e-Business ซึ่งประกอบไปด้วย 4 เสาหลัก ได้แก่ อี-คอมเมิร์ซ, อี-มันนี่, อี-โลจิสติกส์และอี-ดาต้าหรือบิ๊กดาต้า ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่ Internet of Things

 

ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการพัฒนาทั้งด้านอี-คอมเมิร์ซและอี-มันนี่ แต่ยังขาดเรื่องของอี-โลจิสติกส์และอี-ดาต้า ซึ่งญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐอเมริกาและประเทศแถบยุโรป มีการพัฒนาและดำเนินการไปมากแล้ว ขณะที่สิงคโปร์เริ่มดำเนินการ ดังนั้นหากไทยมีการพัฒนาแบบครบวงจรก็จะเพิ่มศักยภาพและทำให้เกิดการแข่งขันในระดับสากลได้

 

ผลประกอบการของกลุ่มเซ็นทรัลในปีนี้ ตั้งเป้าหมายที่จะมียอดขาย 3.82 แสนล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 14.9% โดยมีสัดส่วนยอดขายจากธุรกิจออนไลน์ไม่ถึง 1% และตั้งเป้าที่จะมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 5% ภายใน 3-5ปี

 

++JDยื่นธปท.ขอฟินเทค
นายเฉิน จาง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี JD.com เปิดเผยว่า การเข้ามาลงทุนครั้งนี้เพื่อแสวงหาโอกาสเดิมเติมศักยภาพค้าปลีกในประเทศไทย เพราะการค้าขายยังเป็นรูปแบบเก่า และมุ่งหวังเข้ามาเติมเต็มศักยภาพผู้ค้าปลีกและสร้างนวัตกรรมมากขึ้น โดย JD.com เข้ามาเพิ่มศักยภาพค้าปลีกซึ่งเซ็นทรัลมีจุดแข็งเรื่องออฟไลน์ ส่วน JD.Com มีจุดเด่นด้านออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดและเข้มแข็งที่สุด

 

“เหตุผลที่เข้ามาลงทุนครั้งนี้เนื่องจากประเทศไทยเป็นอีกก้าวหนึ่งที่ตลาดกำลังเติบโต เพราะมีสัดส่วนเพียง 2% ขณะที่จีนอยู่ที่ 15% และสหรัฐอเมริกาอยู่ที่10%”

 

นายเฉินระบุว่า การปฏิวัติอุตสากรรมค้าปลีกนั้น ยุคแรก คือ ห้างสรรพสินค้า ต่อมาเป็นยุคคอนวีเนียนสโตร์ ยุคถัดมา คือ ยุคซูเปอร์มาร์เก็ต และครั้งที่4 คือยุคอี-คอมเมิร์ซ นอกจากนี้ ภายในสิ้นปีนี้บริษัทร่วมทุนจะยื่นขอใบอนุญาตดำเนินการทำธุรกรรมออนไลน์จากธนาคารแห่งประเทศไทย

 

++จากออฟไลน์สู่ออนไลน์
นายภาวุธพงษ์วิทยภานุ นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย กล่าวว่า การที่เซ็นทรัลจับมือเป็นพันธมิตรร่วมกับเจดี ผู้ให้บริการอี-คอมเมิร์ซอันดับ 2 ของจีน โดยมีส่วนแบ่งตลาดในจีน 20-30% รองจากอาลีบาบานั้น ถือเป็นก้าวที่สำคัญของกลุ่มธุรกิจเซ็นทรัลในฐานะยักษ์ใหญ่ธุรกิจค้าปลีกของไทยในการขยับจากธุรกิจออฟไลน์ขึ้นสู่ออนไลน์ โดยอาศัยความแข็งแกร่งของเจดี ที่มีระบบนิเวศน์ และองค์ความรู้ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ รวมไปถึงเงินทุนเข้ามาสนับสนุน โดยการแข่งขันธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในไทย ยังคงมุ่งเน้นการทุ่มเม็ดเงินการตลาด เพื่อสร้างฐานลูกค้าขึ้นมา

 

ทั้งนี้ การสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในไทย โดย ETDA (เอ็ตด้า) คาดการณ์ว่าปี 2559 จะเติบโตแบบก้าวกระโดด 12.42% มูลค่ารวมสูงถึง 2.52 ล้านล้านบาท และยังโตต่อเนื่อง

 

JD.com และ JD Finance เป็นบริษัทอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ในจีน ให้บริการช็อปปิ้งออนไลน์ การซื้อผ่าน WeChat และ Mobile QQ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 มีสำนักงาน 7แห่งและโกดังสินค้า 335 แห่งใน 2,691 เขตและเมืองทั่วจีน และเป็นสมาชิก NASDAQ100 และเป็นบริษัทที่มีชื่ออยู่ใน Fortune Global500

 

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,297 วันที่ 17 - 20 กันยายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9-1-5