สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เผยธุรกิจหนังสือปีจอปรับตัว เน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ โซเชียลช่วยผลักดันหนังสือสู่ผู้อ่านกลุ่มเด็ก-เยาวชน อ่านเยอะที่สุด วางนโยบายสนับสนุนการอ่านและธุรกิจหนังสืออย่างยั่งยืน
นางสุชาดา สหัสกุล นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เผยว่า ภาพรวมของธุรกิจหนังสือในปีนี้ ถือเป็นปีที่ธุรกิจหนังสือจะต้องมีการปรับตัวอย่างชัดเจน โดยเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณการผลิต ซึ่งปัจจุบันกลุ่มผู้อ่านกลุ่มใหญ่คือเด็กและเยาวชน และโซเชียลมีเดียสามารถช่วยผลักดันยอดขายหนังสือให้เติบโตได้อย่างชัดเจน
“ภาพรวมของธุรกิจสำนักพิมพ์จะมีการปรับตัวอย่างเห็นได้ชัด สำนักพิมพ์จะพิมพ์งานที่ตนเองถนัดและรู้จักผู้อ่านของตัวเองมากขึ้น โดยเน้นเรื่องของคุณภาพเป็นหลัก มีการรีเสิร์ชวิจัยข้อมูลก่อนการผลิต เมื่อความแม่นยำมากขึ้นความสูญเปล่าก็ลดลง บางสำนักพิมพ์มีการสร้างชุมชนการอ่านหรือแฟนหนังสือของตัวเองขึ้นมา ไม่ใช่แค่อยากทำอะไรก็ทำ คิดในมุมกลับโดยเอาคนอ่านเป็นหลักว่าอยากอ่านอะไร มีสำนักพิมพ์เกิดใหม่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ที่เข้าใจคนอ่านของตัวเองและใช้เครื่องมือโซเชียลมีเดียได้ดี หลายสำนักพิมพ์มีการโยนหินถามทางด้วยวิธีการพรีออเดอร์ ในส่วนของสำนักพิมพ์ใหญ่ๆอาจลดสเกลลง แต่มีความชัดเจนมากขึ้น เพราะฉะนั้นแม้ว่าปริมาณการผลิตจะลดลง แต่คุณภาพของหนังสือจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
ที่ผ่านมาธุรกิจหนังสืออยู่ในสภาวะโอเวอร์ซัพพลาย ซึ่งเกิดจากการผลิตหนังสือตามๆกัน คือหนังสือประเภทไหนขายดีก็จะผลิตตามกัน ทำให้ดีมานด์กับซัพพลายไม่สมดุลกัน ซึ่งจากสถานการณ์ปัจจุบันเชื่อมั่นว่ามีความระวังตัวมากขึ้นและทำในสิ่งที่ถนัดเป็นหลัก ทำให้การโอเวอร์สต็อกลดลง ในส่วนของร้านหนังสือนั้นมีการปรับตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะร้านเชนสโตร์ที่มีหลายสาขา มีการปรับให้เป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มากขึ้น และในส่วนของการขายหนังสือออนไลน์นั้น ในปีที่ผ่านมายอดขายของหลายสำนักพิมพ์มีการเติบโตเกิน100% จากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้อ่าน ยอดขายหนังสือโดยรวมจึงไม่ได้ลดลง เพียงแต่ไปอยู่ในการขายออนไลน์มากขึ้น
สำหรับสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯได้วางแผนการทำงาน เพื่อพัฒนาภาพรวมของวงการหนังสือโดยรวม ทั้งในแง่ของธุรกิจและการสร้างการอ่าน โดยงานหนังสือที่สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯจัดในต่างจังหวัดนั้น จะมีการขยายสเกลเป็นงานระดับภาค และมีการเชื่อมโยงกับประเทศใกล้เคียงในแต่ละภูมิภาค อีกทั้งยังคงสานต่อโครงการ ๑ อ่านล้านตื่นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการรณรงค์ให้ซื้อหนังสือเพื่อบริจาค เพื่อสร้างให้เด็กไทยรักการอ่าน จากการได้อ่านหนังสือที่เขาอยากอ่าน ไม่ใช่หนังสือที่ถูกบริจาคมาโดยไม่ได้ตรงกับความต้องการของผู้อ่านอย่างแท้จริง
ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างมากในการส่งเสริมการอ่าน เพราะหนังสือที่เหมาะสมกับช่วงวัยและตรงใจผู้อ่านเท่านั้น ที่จะส่งผลต่อการอ่านอย่างมีคุณภาพ แต่หนังสือที่มาถึงพื้นที่ด้อยโอกาสส่วนใหญ่ มักได้มาจากการรับบริจาคหนังสือ ซึ่งจากสถิติของหน่วยงานที่ได้รับบริจาคหนังสือพบว่ากว่า 70 % เป็นหนังสือที่ไม่มีคุณภาพ ล้าสมัย ต้องคัดทิ้ง ไม่สามารถนำมาจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านได้