STI มั่นใจ‘วันแบงค็อก’ หนุนรายได้แข็งแกร่ง

26 พ.ย. 2561 | 03:01 น.
สัมภาษณ์
บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ผู้ประกอบธุรกิจที่ปรึกษา บริหาร และควบคุมงานก่อสร้าง และให้บริการออกแบบงานด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม, งานตกแต่งภายใน และงานอนุรักษ์โบราณสถาน เตรียมเซ็นสัญญาจัดจำหน่ายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไป(IPO)ในสัปดาห์หน้าจำนวน 68 ล้านหุ้น คาดว่าจะเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอได้ภายในเดือนธันวาคมนี้

นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าหัวใจสำคัญของธุรกิจของบริษัทอยู่ที่บุคลากร ในอดีตที่ผ่านมาหากบุคลากรมีการเปลี่ยนแปลงหรือโยกย้ายก็กระทบต่อธุรกิจของบริษัทนั้นๆได้

[caption id="attachment_352158" align="aligncenter" width="335"] สมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ สมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์[/caption]

STI จึงตั้งเป้าจะพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถ มีมาตรฐานเป็นสากล มีรูปแบบการทำงานที่ชัดเจน ธุรกิจจะต้องอยู่ได้อย่างยั่งยืน บุคลากรรุ่นใหม่ๆ สามารถรับช่วงสืบทอดธุรกิจได้ต่อๆกันไป ไม่ยึดติดกับภาพของบุคคลแต่ต้องมีความมั่นคงในลักษณะขององค์กร

“ปัจจุบันเรามีพนักงาน 606 คน เราได้สร้างคนรุ่นใหม่ๆขึ้นมา เพื่อให้สืบทอดกิจการได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว พนักงานที่นี่ส่วนใหญ่เข้ามาแล้วไม่ค่อยออกไปไหน จะทำงานอยู่กับเรานาน เติบโตและก้าวหน้าไปด้วยกัน”

นายสมเกียรติกล่าวว่า การระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทวางแผนจะนำไปลงทุนจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมทักษะความรู้พนักงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ประมาณ 20 ล้านบาท (จากเดิมคาดว่าจะใช้ 40 ล้านบาท)

นอกจากนี้จะลงทุนอุปกรณ์ระบบคอมพิวเตอร์ โปรแกรมด้านการออกแบบ ควบคุมงานก่อสร้าง และการเงิน-การบัญชี ประมาณ 30 ล้านบาท และลงทุนงานระบบและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ประมาณ 20 ล้านบาท ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ และเงินทุนในการเข้าลงทุนในกิจการอื่นๆ

นายสมเกียรติกล่าวว่าปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) 717 ล้านบาท รวมๆประมาณ 100 โครงการ ทยอยรับรู้รายได้ไม่เกิน 3 ปี และมีงานใหม่ๆเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

“STI ยังได้รับงานโครงการวันแบงค็อก ซึ่งเป็นโครงการใหญ่มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท พื้นที่กว่า 1.8 ล้านตารางเมตร ตอนนี้เป็นช่วงเริ่มต้น เรายังส่งพนักงานเข้าไปไม่มาก โดยในปี 2565 โครงการนี้จะแล้วเสร็จประมาณ 80% และอีก 20% จะแล้วเสร็จในปี 2567 คาดว่าช่วงพีกของโครงการนี้ เราจะต้องส่งพนักงานเข้าไปทำงานถึงประมาณ 200 คน”

นายสมเกียรติกล่าวว่าบริษัทรับงานที่หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง มีทั้งคอนโดมิเนียม, อาคารสำนักงาน, โรงพยาบาล และโรงแรม

“ช่วงนี้คอนโดมิเนียมระดับกลางเริ่มอิ่มตัว แต่คอนโดฯระดับราคาที่ถูกลง และเกาะไปกับแนวรถไฟฟ้า แต่ออกไปไกลหน่อย จะมีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ส่วนคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมในเมืองก็ยังไปได้ดี มีกำลังซื้อลงทุนรวมถึงซื้อเพื่อปล่อยเช่า”

นายสมเกียรติกล่าวว่าในส่วนของอาคารสำนักงาน ช่วงนี้ก็เริ่มมีการก่อสร้างในโครงการอาคารอเนกประสงค์(มิกซ์ยูส)หลายแห่ง ซึ่งบริษัทก็รับงานอาคารสำนักงานด้วย นอกจากนี้ยังมีงานโรงพยาบาลเอกชนอีก 2 แห่ง รวมถึงโรงแรมที่จังหวัดภูเก็ต และเชื่อว่าในช่วง 2-3 ปีนี้การก่อสร้างอาคารต่างๆ จะยังคงมีต่อเนื่อง

บริษัทมั่นใจว่าหุ้นของบริษัทจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุน เนื่องจากบริษัทฯมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ผลการดำเนินงาน 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง รายได้ของบริษัทในปี 2558-2560 ทำได้ 462, 473, 495 ล้านบาทตามลำดับ และในครึ่งแรกปี 2561 บริษัทมีรายได้ 277 ล้านบาท เพิ่มจาก 215 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน 29% และคาดว่าแนวโน้มธุรกิจในปีนี้จะสามารถเดินตามเป้าหมายที่วางไว้ และเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2560

หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับ 3,421 วันที่ 25-28 พฤศจิกายน 2561 595959859