KTBติดอาวุธAI-ไบโอเมตริกลดโกงในสาขา

28 ก.พ. 2562 | 08:39 น.
ช่วงปีที่ผ่านมา ธนาคาร กรุงไทย ต้องแก้ปัญหาวิกฤติความเชื่อมั่นด้ายการไล่พนักงานออก พร้อมกับนำเครื่องตรวจสอบบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์มาใช้หน้าเคาน์เตอร์ทุกสาขา เพื่อลดความเสี่ยงที่จะมีผู้แอบอ้างใช้เอกสารปลอมถอนเงินหลังจากเกิดข้อร้องเรียนจากลูกค้าสาขาปาย อ.แม่ฮ่องสอนว่า เงินในบัญชีหายไป และเมื่อตรวจสอบพบว่า พนักงานทุจริตกับลูกค้ากว่า 10 ราย รวม 11 บัญชี 30 รายการเป็นเงิน 5 ล้านบาท และยังพบว่า ที่สาขาห้วยยอด จ.ตรัง หลานสาวของลูกค้านำสมุดบัญชีเงินฝากไปเบิกเงิน โดยใช้เอกสารปลอม ทำให้ธนาคารต้องยกระดับความปลอดภัยด้วยการเตรียมนำระบบสแกนใบหน้ามาใช้ในอนาคต

[caption id="attachment_395184" align="aligncenter" width="368"] ผยง ศรีวณิช ผยง ศรีวณิช[/caption]

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร กรุงไทย กล่าวถึงข่าวการทุจริตของพนักงาน หรือ Fault ที่ถูกนำเสนอในช่วงที่ผ่านมาว่า จะใช้เวลา 3 เดือนในการแก้ปัญหาหรือตรวจสอบ แต่ล่าสุดสามารถตรวจเช็กจนได้ข้อสรุปในเวลาเพียง 2-3 สัปดาห์ ถือว่าดีขึ้นมาก แต่กรุงไทยยังต้องปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญและยกระดับองค์กรคุณธรรม เพื่อตอบสนองกับความคาดหวังของสังคม

ทั้งศูนย์ร้องเรียนและปรับทุกช่องทางที่สามารถเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ปัญหาเป็นรูปธรรม ซึ่งนอกจากยกระดับเทคโนโลยี เช่น ติดตั้งเครื่องอ่านบัตรประชาชนทุกสาขา หรือจัดเก็บข้อมูลเป็นการถาวรแล้วระหว่างนี้การตรวจสอบผ่านไบโอเมตริก ซึ่งอยู่ในกระบวนการทดสอบใน Sand box แต่เริ่มใช้เชิงพาณิชย์ระดับหนึ่งแล้ว เพื่อลดการโกงที่สาขา ด้วยกลไกปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ซึ่งในอนาคตจะลด Fault หรือลดความเสี่ยงของการโกงทุกรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นในสาขาได้ ไม่ว่าจากคนภายในหรือคนภายนอกที่เข้ามาตั้งใจโกง โดยใช้สถานที่ของธนาคาร

ด้านประสิทธิภาพการให้บริการของธนาคารหรือ Performance ที่แนวโน้มกำไรจะบางลง การให้บริการบน 4P ไม่ว่าเรื่องประสิทธิภาพ การปล่อยกู้ หรือรายได้ค่าธรรมเนียม หรือการบริหารเอ็นพีแอลทุกตัวจะถูกนำเทคโนโลยีมาใช้แบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นผลการดำเนินงานจะถูกกระทบในทุกมิติ และขณะนี้กำลังเริ่มทำสินเชื่อออนไลน์(Digital Lending) ผ่านแอพพลิเคชัน “กรุงไทย NEXT” ซึ่งอยู่ใน Sandbox โดยใช้พารามิเตอร์ ข้อมูล และ Credit Scoring ในการพิจารณาสินเชื่อคาดว่าภายในสิ้นปี จะมีฐานลูกค้าเพิ่มเป็น 10 ล้านรายจากเดือนมกราคมอยู่ที่ 4 ล้านราย

MP20-3448-B

“ปีนี้ผลการดำเนินงานของกรุงไทยจะเติบโตด้วยสินเชื่อรายย่อยและเอสเอ็มอีในกลุ่มที่มีโอกาสเติบโต เช่น เกษตรแปรรูปหรือระบบขนส่ง แม้ว่าสินเชื่อรายย่อย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะให้ความสำคัญกับอัตราการปล่อยกู้ที่เกินมูลค่าหลักประกันหรือภาระหนี้ครัวเรือน และพยายามลดการปล่อยกู้ภาครัฐลง เพราะต้นทุนสูงและสินเชื่อรายย่อยน่าจะเติบโตได้ แต่ยังกังวลแนวโน้มสินเชื่อธุรกิจหลายราย ที่เร่งเปลี่ยนเงินกู้เป็นตราสารหนี้หรือออกหุ้นกู้และโครงการขนาดใหญ่ที่เริ่มก่อสร้างแล้วเสร็จปีที่แล้วหลายรายเริ่มขอปรับโครงสร้างหนี้(รีไฟแนนซ์)”

ส่วนนโยบายสาขาหรือช่องทางบริการนั้น จำนวนพนักงานจะลดลง 30% ในอีก 4 ปีจากที่มีอยู่ 2.1 หมื่นคน และจะควบรวมและย้ายทำเลสาขาจาก 1,100 สาขาเหลือ 1,000 แห่งใน 2 ปี ซึ่งเป็นอัตรากำลังและช่องทางบริการที่เหมาะสมต่อการปรับสู่ธนาคารไร้ตัวตนหรือ Invisible Banking ซึ่งภายในเดือนพฤษภาคมปีนี้ และติดตั้งเอทีเอ็มประมาณ 3,000 ตู้ ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องทางดิจิตอลหลังจากเดือนมีนาคมจะเริ่มทำสาขาตัวอย่าง 20 สาขาและสิ้นปีตั้งเป้าไว้ 500 สาขา

หน้า 19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,448 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม พ.ศ. 2562

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-8