กฟผ.ใช้รถมินิบัสไฟฟ้าในองค์กร พร้อมเปิดสถานีชาร์จ 23 แห่ง 

28 มี.ค. 2562 | 08:20 น.

นายวิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ. เล็งเห็นถึงความสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเข้ามามีบทบาทในอนาคต ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซ CO2 จากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ดีเซล ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง รวมทั้งสามารถลดการปล่อยมลพิษทางอากาศและฝุ่นละออง (PM2.5) ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน กฟผ. จึงมุ่งมั่นผลักดันแผนส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของ กฟผ. อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2559 เพื่อสนองนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมของประเทศ

กฟผ.ใช้รถมินิบัสไฟฟ้าในองค์กร พร้อมเปิดสถานีชาร์จ 23 แห่ง 

วิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย

โดยเมื่อปี 2561 กฟผ. ได้เริ่มใช้งานรถมินิบัสไฟฟ้า จำนวน 1 คัน เพื่อรับส่งพนักงาน และประชาชนที่มาศึกษาดูงานและร่วมกิจกรรมที่ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง และปัจจุบัน กฟผ. ได้เช่า
รถมินิบัสไฟฟ้าเพิ่มอีก จำนวน 10 คัน ซึ่งได้รับมอบเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ กฟผ. จะนำรถมินิบัสไฟฟ้าทั้งหมด จำนวน 11 คัน ไปใช้งานรับ-ส่งพนักงาน กฟผ. และประชาชนที่มาศึกษาดูงานในพื้นที่สำนักงาน โรงไฟฟ้า เขต เขื่อน และ
ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. จำนวน 8 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าวังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง โรงไฟฟ้า
น้ำพอง จ.ขอนแก่น โรงไฟฟ้าบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา โรงไฟฟ้าจะนะ จ.สงขลา โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา
จ.นครราชสีมา โรงไฟฟ้าเขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี สำนักงานกลาง กฟผ. และศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. จ.นนทบุรี ทั้งนี้ การใช้งานรถมินิบัสไฟฟ้าทดแทนการใช้งานรถมินิบัสที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง สามารถลดการปล่อยก๊าซ CO2 จากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ดีเซลได้ประมาณ 485 กรัม CO2/กม. และสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงได้เฉลี่ยประมาณ 2.3 บาท/กม. รวมทั้งสามารถลดการปล่อยมลพิษทางอากาศและฝุ่นละออง (PM2.5) ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนด้วย

พร้อมกันนี้ กฟผ. ยังได้ติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า จำนวนทั้งสิ้น 23 สถานี เพื่อรองรับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าใน 8 พื้นที่ดังกล่าว ซึ่งแบ่งออกเป็น สถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบธรรมดา จำนวน 11 สถานี และสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบเร็ว จำนวน 12 สถานี ซึ่งประชาชนที่ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้าร่วมโครงการนำร่องใช้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าของ กฟผ. ได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 โดยผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่ https://goo.gl/forms/H00cGJXBg4oiKBsj1 (ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2562) ทั้งนี้ กฟผ. จะดำเนินการเก็บข้อมูลการใช้งานในโครงการฯ เพื่อนำมาศึกษาแนวทางการพัฒนามาตรฐานประสิทธิภาพขั้นสูงของสถานีอัดประจุไฟฟ้า และเตรียมดำเนินการเพื่อติดฉลากเบอร์ 5 ให้กับสถานีอัดประจุไฟฟ้าของ กฟผ. ต่อไป

กฟผ.ใช้รถมินิบัสไฟฟ้าในองค์กร พร้อมเปิดสถานีชาร์จ 23 แห่ง 

นอกจากนี้ กฟผ. ได้พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง โดยวิจัยร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. ซึ่งมีรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง พร้อมกับชุด kit ที่มีราคาประหยัด ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2562 โดยเน้นการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตขึ้นเองในประเทศ รวมทั้ง กฟผ. ยังได้ร่วมมือกับ กฟน. กฟภ. สวทช. และ ขสมก. พัฒนา
รถโดยสารประจำทางใช้แล้วของ ขสมก. จำนวน 4 คัน เป็นรถโดยสารไฟฟ้าต้นแบบ ด้วยการดัดแปลงเครื่องยนต์จากเชื้อเพลิงน้ำมันให้กลายเป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2562 จากนั้นจะมีการขยายผลไปสู่การให้บริการประชาชนต่อไปในอนาคต และในปีนี้ประชาชนจะได้พบกับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเบอร์ 5 ซึ่ง กฟผ. ได้ประชุมหารือร่วมกับผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เพื่อกำหนดมาตรฐานและเกณฑ์ประสิทธิภาพเบอร์ 5 โดยตั้งเป้าว่าจะเริ่มติดฉลากเบอร์ 5 จักรยานยนต์ไฟฟ้าภายในเดือนกันยายน 2562

กฟผ.ใช้รถมินิบัสไฟฟ้าในองค์กร พร้อมเปิดสถานีชาร์จ 23 แห่ง