หุ้นดิ่ง ทองทะยาน รับสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯปะทุ

15 พ.ค. 2562 | 23:12 น.

คอลัมน์ครบเครื่องเรื่องทองกับ  YLG

พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

 

 

“ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน” เป็นนิยามที่บ่งชี้เกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี หลังจากปีที่แล้วทั้ง 2 ประเทศผลัดกันออกมาตรการตอบโต้ทางภาษี จนในช่วงเดือนธันวาคมผู้นำจีน-สหรัฐฯ ตกลงร่วมกันที่จะระงับการทำสงครามทางภาษี เพื่อให้ทั้ง 2 ประเทศได้เดินหน้าเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทการค้าระหว่างกันต่อไป หลังจากนั้นภาพรวมทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯมีความคืบหน้าในเชิงบวกมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งที่หนุนให้สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นสหรัฐให้ทะยานขึ้นอย่างมากในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้

หุ้นดิ่ง ทองทะยาน  รับสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯปะทุ

อย่างไรก็ดี สถานการณ์ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปนับตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทวีตในวันที่ 5 พฤษภาคมว่า “ภาษีนำเข้า 10% จะขึ้นเป็น 25% ในวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคมนี้ ขณะที่สินค้านำเข้าในสหรัฐฯที่ส่งออกมาจากจีนอีก 3.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังไม่ถูกเก็บภาษี แต่ในไม่ช้านี้จะถูกเก็บในอัตรา 25%” ซึ่งสหรัฐฯ ก็ได้ทำการปรับเพิ่มภาษีจริงดังที่กล่าวไว้ แม้ปัจจัยดังกล่าวจะกดดันสินทรัพย์เสี่ยงและเป็นปัจจัยหนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ทองคำยังปรับตัวขึ้นได้ไม่มาก เนื่องจากตลาดยังคงมีความหวังเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาการค้า

 

 

 

 

แต่ตลาดมีความหวังเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาการค้าได้ไม่นานนัก เพราะล่าสุดจีนแถลงในวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคมว่า จีนจะเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน แม้นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะทวีตเตือนจีนไม่ให้ทำการตอบโต้สหรัฐฯ เพราะจะทำให้

หุ้นดิ่ง ทองทะยาน  รับสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯปะทุ

สถานการณ์เลวร้ายลงก็ตาม ซึ่งความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนสร้างความปั่นป่วนให้กับสินทรัพย์เสี่ยงในวงกว้าง เราจึงได้เห็นดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 617.38 จุด หรือ -2.38%, ดัชนี S&P500 ปิดลบ 69.53 จุด หรือ -2.41% และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 269.92 จุด หรือ -3.41% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยให้ดีดตัวขึ้นมาปิดบวกกว่า +1.1% และแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน บริเวณ 1,301.40 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ในระหว่างการซื้อขายของวันที่ 13 พฤษภาคม

 

คำถาม คือ อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ค่อนข้างยาก แต่ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการสำรวจโดย Bloomberg สะท้อนให้เห็นว่า นักเศรษฐ ศาสตร์จำนวนถึง 67% มองว่าสหรัฐฯและจีนจะบรรลุข้อตกลงการค้าในปีนี้ ในขณะที่เกือบ 20% คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2020 และอีก 13% ไม่คิดว่าสหรัฐฯและจีนจะบรรลุข้อตกลงการค้าอย่างน้อยภายใน 5 ปีนี้ นอกจากนี้กว่าครึ่งมองว่า สหรัฐฯจะกำหนดภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าที่เหลือทั้งหมดจากจีน โดยส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการเรียกเก็บภาษีในไตรมาสที่ 2 หรือ 3 ของปีนี้ ที่สำคัญก็คือนักเศรษฐศาสตร์ราว 45% มองว่าสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เรียกได้ว่าผลสำรวจนี้สอดคล้องกับ CME Fedwatch Tool ซึ่งสะท้อนว่าเทรดเดอร์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้มากกว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยภายในสิ้นปีสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นบ่งชี้ว่า เทรดเดอร์คาดว่า มีโอกาส 74% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมกำหนดนโยบายวันที่ 10-11 ธันวาคม เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ 64% ในช่วงก่อนจีนประกาศมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ

หุ้นดิ่ง ทองทะยาน  รับสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯปะทุ

ดังนั้นประเด็นนี้จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนทองคำต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะทั้งจีนและสหรัฐฯ ยังตกลงที่จะเจรจาการค้ากันต่อ แต่หากความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศยังอึมครึมเช่นนี้ หรือหากภาพรวมการเจรจาเป็นไปในเชิงลบ เชื่อได้ว่าจะกดดันให้เกิดแรงเทขายในสินทรัพย์เสี่ยงซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยต่อไปได้ แต่อย่าลืมว่า “ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน” เพราะหากทั้ง 2 ประเทศประนีประนอมซึ่งกันและกันอันนำมา ซึ่งความคืบหน้าเชิงบวกก็จะเป็นประเด็นสำคัญที่กดดันราคาทองคำได้เช่นกัน

 

หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับ 3470 วันที่ 16-18 พฤษภาคม 2562

หุ้นดิ่ง ทองทะยาน  รับสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯปะทุ