การเติบโตของธุรกิจดิวตี้ฟรี จัดว่ามีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง จากปัจจุบันยอดขายภาพรวมดิวตี้ฟรีของโลก มีมูลค่าสูงถึง 52,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีแนวโน้มขยับขึ้นเป็น 74,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2565 โดยผู้เล่นรายใหญ่ในวงการ ดิวตี้ฟรีระดับโลก หากวัดกันตามยอดขายตามลำดับ จะประกอบไปด้วย Dufry, ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี, แลการ์แดร์, ดีเอฟเอส กรุ๊ป,The Shilla Grbr Heinemann และคิงเพาเวอร์
จากรายงานว่าด้วยเรื่อง Global Duty Free Retailing, 2017-2022: Market & Category Expenditure and Forecasts, Trends, and Competitive Landscape ซึ่งจัดทำโดย GlobalData ได้คาดการณ์ว่าในช่วงปี 2560-2565 ตลาดดิวตี้ฟรีทั่วโลกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 7.1% และจะมียอดขายถึง 7.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2565 เพิ่มจากในปี 2560 ที่ยอดขายดิวตี้ฟรีทั่วโลกมีมูลค่าอยู่ที่ 5.29 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 4.5%
สาเหตุแห่งการเติบโตนั้นเนื่องมาจากบรรดาผู้ประกอบการร้านดิวตี้ฟรีมีการขยายสาขาออกไปทั่วโลก เอเชียแปซิฟิกถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดและโตเร็วที่สุดสำหรับธุรกิจดิวตี้ฟรี ในแง่การเติบโตของยอดขาย การเติบโตของธุรกิจดิวตี้ฟรีในช่วง 5 ปี (ปี 2560-2565) จะมาจากการเติบโตของตลาดในเอเชียแปซิฟิกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่าง อินเดีย จีน และเกาหลีใต้
การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของนักเดินทาง โดยเฉพาะในกลุ่มชาวมิลเลนเนียม (คนที่เกิดในช่วงปี ค.ศ. 1986-1995) เป็นฟันเฟืองทำให้ยอดขายสินค้าหรูหราราคาแพงในร้านดิวตี้ฟรีพุ่งสูงขึ้น
เมื่อถามว่าอะไรจะเป็นปัจจัยหลักๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจดิวตี้ฟรีระดับโลกต่อไปในอนาคต คำตอบคือ การขยายและการปรับปรุงท่าอากาศยานทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของนักเดินทางโดยเฉพาะในกลุ่มนักเดินทางชาวจีนและกลุ่มมิลเลนเนียม การขยายตัวของธุรกิจการท่องเที่ยวการเปิดร้านใหม่ๆ และการปรับปรุง รวมทั้งการขยายร้านดิวตี้ฟรีเดิมที่มีอยู่ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยหลักๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจดิวตี้ฟรีมีการเติบโตที่แข็งแรงต่อไป
อีกทั้งหากแยกยอดขายดิวตี้ฟรี โดยวัดจากยอดขายเฉพาะภายในสนามบิน ปัจจุบัน ประเทศเกาหลีใต้ เป็นตลาดดิวตี้ฟรีใหญ่ที่สุดในโลกในแง่ยอดขายและเชื่อว่าจะยังครองแชมป์ไปจนถึงปี2565 โดยมีสนามบินอินชอน เป็นสนามบินที่ทำยอดขายจากร้านดิวตี้ฟรีได้ทุบสถิติโลกที่ 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี2561 และหมวดสินค้าที่ทำยอดขายสูงสุดและมีการเติบโตของยอดขายมากที่สุดคือ ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว (Personal care) โดยนํ้าหอม-เครื่องสำอาง ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด