สงครามการค้า” ป่วนหุ้นไทย มาร์เก็ตแคป 2 สัปดาห์หาย 7 แสนล้านบาท ทุนนอกไหล 1.6 หมื่นล้านบาท โบรกฯคาดสถานการณ์ยืดเยื้อนาน จ่อหั่นเป้าเศรษฐกิจ ชี้สหรัฐฯแบนหัวเว่ย สะเทือนหุ้นกลุ่มมือถือ-สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จับตาผลเจรจา 2 ผู้นำปลายเดือนมิภุนายน
นับตั้งแต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สู่ระดับ 25% จากระดับ 10% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2562 ดัชนีหุ้นไทยในช่วงดังกล่าวถึงปัจจุบันได้ปรับตัวลดลงกว่า 70 จุด หรือ -4.23% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ลดลง 7.13 แสนล้านบาท จาก ณ วันที่ 3 พฤษภาคม อยู่ที่ 17.18 ล้านล้านบาท ลงมาอยู่ระดับ 16.47 ล้านล้านบาท ณ วันที่ 17 พฤษภาคม
ขณะที่ฟันด์โฟลว์ (1-20 พ.ค.) ไหลออกกว่า 15,926 ล้านบาท แต่ไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ 10,064 ล้านบาท และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิแล้ว 25,475 ล้านบาท และออกจากตลาดพันธบัตรแล้ว 22,970 ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าช่วง 2-3 เดือนนี้ ทั้งสหรัฐฯ และจีนยังคงใช้อาวุธทางการค้าสาดใส่กัน เพราะฝั่งสหรัฐฯ เองก็ยังเหลือวงเงินการขึ้นภาษีได้อีก 3.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากกำแพงภาษีที่ตั้งไปแล้วที่ 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และล่าสุดโดยการแบนสินค้าจีน Huawei
ขณะที่จีนก็สามารถตอบโต้สหรัฐฯได้ทั้งจากการขึ้นภาษีที่เหลือ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากที่ขึ้นไปแล้ว 1.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, การแทรกแซงให้ค่าเงินหยวนอ่อน หรือขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จีนถือเป็นอันดับ 1 ถึง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การลดนำเข้าเครื่องบิน Boeing และแบนสินค้าสหรัฐฯ ซึ่งต้องดูกันใหม่อีกครั้งว่าการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ประชุม G20 ที่ญี่ปุ่นวันที่ 28-29 มิถุนายนนี้ ผลจะเป็นอย่างไร
“เรายังให้นํ้าหนักเรื่องสงครามการค้าเป็นประเด็นหลักในช่วง 2-3 เดือนนี้ ส่งผลให้ SET Index แกว่งผันผวน หลุด 1600 จุดได้ ด้านปัจจัยการเมือง หลังได้รัฐบาลชุดใหม่ เชื่อว่าความ เสี่ยงในด้านการลงทุนน่าจะลดลง เพราะเมื่อเข้าสู่ระบประชาธิป ไตยแล้วก็มีขั้นตอนที่ “คาดหมาย” ได้ ซึ่งในมุมนักลงทุนจะชอบสถานการณ์ที่คาดการณ์และวางแผนล่วงหน้าได้”
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า สถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน มีแนวโน้มที่จะยืดเยื้ออีกนาน แต่ระยะสั้นตลาดหุ้นได้ผ่านจุดพีกเรื่องนี้ไปแล้ว รวมทั้งได้สะท้อนตัวเลขเศรษฐกิจบางส่วน โดยคาดว่าสำนักวิจัยต่างๆ จะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจหลังจากนี้ แต่การที่ธนาคารกลางหลายประเทศได้ผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยลดดอกเบี้ยลง ช่วยส่งผลเชิงบวกต่อการลงทุน
“นักวิเคราะห์เปลี่ยนมุมมอง คาดว่าสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนจะยืดเยื้อไปอีกนาน และประเมินผลกระทบ จากการที่สหรัฐฯ แบน Huawei แม้จะมีคำสั่งยกเลิกชั่วคราวไป 90 วันก็ตาม แต่ส่งผลกระทบต่ออุตสาห กรรม ในกลุ่มมือถือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ผลิตสินค้าชิป เห็นผลชัดเจนมากกว่าการขึ้นภาษี และไม่เพียงแต่ผลิตภัณฑ์หัวเว่ย ยังส่งผลไปถึงค่ายมือถืออื่น เช่นไอโฟน COM 7 เพราะไม่รู้ว่าจีนจะตอบโต้ในลักษณะเดียวกันหรือไม่
“อย่างไรก็ดีจีนยังมีอาวุธสำคัญ เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตแร่แรร์เอิร์ธ (Rare earth) ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตชิปคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไฮเทค ซึ่งสหรัฐฯ นำเข้าแร่ดังกล่าวจากจีนในสัดส่วนถึง 80% ดังนั้นทันทีที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินทางไปเยี่ยมโรงงานผลิตแร่ร์เอิร์ธ ที่มณฑลเจียงซี ไม่ต่างกับการส่งซิก ทำให้สหรัฐฯ ต้องยกเลิกแบนสินค้า Huawei ชั่วคราว”
บล.ยูโอบี เคย์เฮียนฯ ยังคงดัชนี 1600-1800 จุด มองตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังเดือนนี้ ยังได้รับอานิสงส์จาก MSCI ปรับเกณฑ์คำนวณหุ้นใน NVDR ที่จะมีผลในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ คาดเม็ดเงินกองทุนต่างชาติจะไหลเข้า 6-7 หมื่นล้านบาท แม้หุ้นขนาดใหญ่ที่เข้าในการคำนวณ MSCI รอบนี้ (INTUCH- RATCH- DTAC) จะสะท้อนราคาไปแล้ว แต่ในส่วนของ Small Cap 6 ตัวที่ถูกคำนวณใน MSCI เช่นกัน ได้แก่ AEONTS, AAV, BLA, EASTW, PSH และ TASCO ยังสามารถเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ฯ ระบุในบทวิเคราะห์ว่าสงครามการค้าถึงจุดพีกชั่วคราวไปแล้ว รอดูการเปิดเจรจาการค้ารอบใหม่ซึ่งเป็นความหวังของตลาด ถึงแม้จีนจะตอบโต้สหรัฐฯด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านําเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดิม 10% เป็น 25% วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ 1 มิถุนายนนี้ก็ตาม แต่เชื่อว่าเปิดการเจรจารอบใหม่ วันที่ 28-29 มิถุนายนนี้ จะช่วยหล่อเลี้ยงความหวังในตลาดและน่าจะช่วยกระตุกการฟื้นตัวขึ้นได้บ้างในระยะถัดไป ส่วนการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีสินค้าจีนที่เหลืออีกมูลค่า 3.25 แสนล้านดอลลาร์นั้น มองว่ายังเร็วเกินไป เพราะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 เดือนในการเปิดรับฟังความคิดเห็น และจะเริ่มใช้จริงหรือไม่คาดยังมีเวลาตัดสินใจภายใน 90 วัน
ส่วนการเมืองในประเทศการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่จะเป็นปัจจัยหนุนที่เข้ามามีนํ้าหนักในช่วงครึ่งเดือนหลังต่อเนื่องจนถึงกลางเดือนมิถุนายนทําให้หุ้นไทยน่าจะมีทิศทางที่แข็งแกร่ง (Outperform) กว่าตลาดหุ้นภูมิภาคนี้คาด SET Index ยังแกว่งไซด์เวย์มีเป้าหมายทดสอบที่ระดับ 1620-1630 แนวต้านบริเวณ 1665+/- จุด
หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,472 วันที่ 23-25 พฤษภาคม 2562