โบรกฯหั่นประมาณการกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ไตรมาส 2 ตามราคานํ้ามันขาลง จากผลกระทบ เทรดวอร์ บล.ไทยพาณิชย์ฯ แนะทยอยสะสมหุ้นกลุ่มโรงกลั่น ชี้ valuation หลายตัวลงใกล้เคียงช่วงปี 2557-2558 รอจังหวะทำกำไรหลังเศรษฐกิจฟื้น
ทิศทางราคานํ้ามันในครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มปรับลง ตามเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์นํ้ามันที่ชะลอตัวจากผลกระทบ ของสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน โดยในเดือนพฤษภาคมราคานํ้ามันได้ปรับตัวลดลง 16-20% ราคานํ้ามันเบรนต์ YTD ปรับลงมาระดับ 66.17 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เทียบกับ 70.1 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ในช่วงเดียวกันของปี 2561
อย่างไรก็ตามปลายสัปดาห์ที่แล้วราคานํ้ามันฟื้นตัว หลังจากที่ตัวเลขจำนวนแท่นขุดเจาะนํ้ามันในสหรัฐฯลดลง ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มพลังงานปิดตลาดเมื่อวันที่10 มิถุนายน ดีดตัวขึ้น 287.62 จุด เปลี่ยน แปลง + 1.17% ขณะที่ราคานํ้ามันเบรนต์ ล่าสุดอยู่ที่ 63.3 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
นายชัยพัชร ธนวัฒโน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานในครึ่งปีหลัง คือความตึงเครียดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีน และผลการประชุมกลุ่มโอเปกในวันที่ 25-26 มิถุนายน ที่กรุงเวียนนา ซึ่งกลุ่มโอเปกและประเทศผู้ผลิต นํ้ามันรายใหญ่ อาจจะขยายระยะเวลาการปรับลดปริมาณการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ออกไปจากที่มีกำหนดจะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน 2562 อีกทั้งมีเรื่องของซัพพลายนํ้ามันใหม่ shale oil ของสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มเข้ามาใน ครึ่งปีหลัง ดังนั้นจังหวะการซื้อขายหุ้นในกลุ่มนี้ ต้องเล่นเป็นรอบๆ และจับตาสถานการณ์เป็นหลัก
“หากมอง valuation หลายๆตัวปรับลดลงมาอยู่ในจังหวะที่จะทยอยสะสมได้เป็นหุ้นพื้นฐานดี ธุรกิจยังโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นมีหลายตัวน่าสนใจ เป็นหุ้นพื้นฐานดี ธุรกิจยังโตต่อเนื่อง โดย valuation ในแง่ของราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV Ratio) หรือ P/E Ratio ก็ดีลงมาใกล้เคียงกับปี 2557-2558 ซึ่งตอนนั้นราคานํ้ามันลงแรงมาก และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้น อุปสงค์การบริโภคก็กลับมาดีขึ้น”
บล.ไทยพาณิชย์ฯ ได้ปรับสมมติฐานราคานํ้ามันเบรนต์ปี 2562 ลงจาก 75 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล สู่ระดับ 68 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และราคานํ้ามันดูไบปรับจาก 72 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็น 65 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล รวมทั้งได้ปรับประมาณการกำไรปี 2562 ของ PTTEP และ PTT ลดลง 11% และ 8.5% ตามลำดับ
นอกจากนี้ยังได้ปรับราคาเป้าหมายของ PTT ลดลงจาก 61 บาทสู่ 55 บาท แต่คงราคาเป้าหมายของ PTTEP ไว้ที่ 150 บาท เนื่องจาก valuation ที่ลดลงของสินทรัพย์ดำเนินในปัจจุบันถูกชดเชยโดยมูลค่าส่วนเพิ่มของสินทรัพย์ใหม่ โดยหลักๆ เป็นสินทรัพย์ที่ซื้อมาใหม่ในมาเลเซีย และสัญญา PSC ฉบับใหม่ของแหล่งบงกช และแหล่งเอราวัณ
ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)ฯ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มีโอกาสที่กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจะขาดทุนจากสต๊อกในงวดไตรมาส 2/2562 ผนวกกับ Core profit อ่อนแอลงจากการที่สเปรดปิโตรเคมีหดตัว ขณะที่ค่าการกลั่นขยับขึ้นในช่วงฤดูกาลปิดซ่อมบำรุงแต่เพิ่มไม่มาก ดังนั้นคาดการณ์ว่าผลประกอบการกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีในไตรมาส 2/2562 จะแย่ลงเมื่อเทียบ YoY และเทียบ QoQ
หุ้นพลังงานและปิโตรเคมีที่น่าสนใจ ซื้อกลับมาเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว เลือกเป็น PTTEP (ราคาพื้นฐาน 143 บาท ) จุดเด่นคือ ปริมาณผลิตและขายเพิ่ม ขึ้นหลังได้สัมปทานบงกช และเอราวัณ และถือหุ้นเพิ่มขึ้นคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้ 4.5% และ PTT (ราคาเป้าหมาย 55 บาท) จุดเด่นคือ ผลขาดทุนจาก NGV ลดลง 2 พันล้านบาทต่อปี หลังได้ทยอยปรับขึ้นราคา 3 ครั้งครั้งละ 1 บาทต่อลิตร (จากปัจจุบัน 10.62 บาท เป็น 13.62 บาทต่อลิตรในที่สุด) คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้ 4.3%
อนึ่งกลุ่มพลังงานไตรมาส 1/2562 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 69,656.5 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) 30.4%
หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,478 วันที่ 13-15 มิถุนายน 2562