โบรกหั่นกำไร กลุ่มพลังงาน Q2 แนะทยอยเก็บ หุ้น‘โรงกลั่น’

13 มิ.ย. 2562 | 03:25 น.

โบรกฯหั่นประมาณการกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ไตรมาส 2 ตามราคานํ้ามันขาลง จากผลกระทบ เทรดวอร์ บล.ไทยพาณิชย์ฯ แนะทยอยสะสมหุ้นกลุ่มโรงกลั่น ชี้ valuation หลายตัวลงใกล้เคียงช่วงปี 2557-2558 รอจังหวะทำกำไรหลังเศรษฐกิจฟื้น

ทิศทางราคานํ้ามันในครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มปรับลง ตามเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์นํ้ามันที่ชะลอตัวจากผลกระทบ ของสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน โดยในเดือนพฤษภาคมราคานํ้ามันได้ปรับตัวลดลง 16-20% ราคานํ้ามันเบรนต์ YTD ปรับลงมาระดับ 66.17 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล  เทียบกับ 70.1 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ในช่วงเดียวกันของปี 2561  

อย่างไรก็ตามปลายสัปดาห์ที่แล้วราคานํ้ามันฟื้นตัว หลังจากที่ตัวเลขจำนวนแท่นขุดเจาะนํ้ามันในสหรัฐฯลดลง ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มพลังงานปิดตลาดเมื่อวันที่10 มิถุนายน ดีดตัวขึ้น 287.62 จุด เปลี่ยน แปลง + 1.17% ขณะที่ราคานํ้ามันเบรนต์  ล่าสุดอยู่ที่ 63.3 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล 

โบรกหั่นกำไร  กลุ่มพลังงาน Q2  แนะทยอยเก็บ หุ้น‘โรงกลั่น’                

นายชัยพัชร ธนวัฒโน  นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด   กล่าวกับฐานเศรษฐกิจว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานในครึ่งปีหลัง คือความตึงเครียดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีน  และผลการประชุมกลุ่มโอเปกในวันที่ 25-26 มิถุนายน ที่กรุงเวียนนา  ซึ่งกลุ่มโอเปกและประเทศผู้ผลิต นํ้ามันรายใหญ่ อาจจะขยายระยะเวลาการปรับลดปริมาณการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ออกไปจากที่มีกำหนดจะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน 2562  อีกทั้งมีเรื่องของซัพพลายนํ้ามันใหม่  shale oil ของสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มเข้ามาในครึ่งปีหลัง ดังนั้นจังหวะการซื้อขายหุ้นในกลุ่มนี้ ต้องเล่นเป็นรอบๆ และจับตาสถานการณ์เป็นหลัก

 

 

 

หากมอง valuation หลายๆตัวปรับลดลงมาอยู่ในจังหวะที่จะทยอยสะสมได้เป็นหุ้นพื้นฐานดี ธุรกิจยังโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นมีหลายตัวน่าสนใจ เป็นหุ้นพื้นฐานดี  ธุรกิจยังโตต่อเนื่อง  โดย  valuation ในแง่ของราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV Ratio)  หรือ P/E Ratio ก็ดีลงมาใกล้เคียงกับปี 2557-2558  ซึ่งตอนนั้นราคานํ้ามันลงแรงมาก  และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้น อุปสงค์การบริโภคก็กลับมาดีขึ้น

บล.ไทยพาณิชย์ฯ ได้ปรับสมมติฐานราคานํ้ามันเบรนต์ปี 2562 ลงจาก 75 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล สู่ระดับ  68 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล  และราคานํ้ามันดูไบปรับจาก 72 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็น 65 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล รวมทั้งได้ปรับประมาณการกำไรปี 2562 ของ PTTEP และ PTT ลดลง 11%  และ 8.5% ตามลำดับ 

นอกจากนี้ยังได้ปรับราคาเป้าหมายของ PTT ลดลงจาก 61 บาทสู่ 55 บาท แต่คงราคาเป้าหมายของ PTTEP ไว้ที่ 150 บาท  เนื่องจาก valuation ที่ลดลงของสินทรัพย์ดำเนินในปัจจุบันถูกชดเชยโดยมูลค่าส่วนเพิ่มของสินทรัพย์ใหม่ โดยหลักๆ เป็นสินทรัพย์ที่ซื้อมาใหม่ในมาเลเซีย และสัญญา PSC ฉบับใหม่ของแหล่งบงกช และแหล่งเอราวัณ

 

ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มีโอกาสที่กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจะขาดทุนจากสต๊อกในงวดไตรมาส 2/2562 ผนวกกับ Core profit  อ่อนแอลงจากการที่สเปรดปิโตรเคมีหดตัว ขณะที่ค่าการกลั่นขยับขึ้นในช่วงฤดูกาลปิดซ่อมบำรุงแต่เพิ่มไม่มาก  ดังนั้นคาดการณ์ว่าผลประกอบการกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีในไตรมาส 2/2562 จะแย่ลงเมื่อเทียบ YoY และเทียบ QoQ 

หุ้นพลังงานและปิโตรเคมีที่น่าสนใจ  ซื้อกลับมาเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว เลือกเป็น PTTEP (ราคาพื้นฐาน 143 บาท ) จุดเด่นคือ ปริมาณผลิตและขายเพิ่มขึ้นหลังได้สัมปทานบงกช และเอราวัณ และถือหุ้นเพิ่มขึ้นคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้ 4.5% และ  PTT (ราคาเป้าหมาย 55 บาทจุดเด่นคือ ผลขาดทุนจาก NGV ลดลง 2 พันล้านบาทต่อปี หลังได้ทยอยปรับขึ้นราคา 3 ครั้งครั้งละ 1 บาทต่อลิตร (จากปัจจุบัน 10.62 บาท เป็น 13.62 บาทต่อลิตรในที่สุด) คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้ 4.3%

อนึ่งกลุ่มพลังงานไตรมาส 1/2562 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 69,656.5 ล้านบาท  ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) 30.4%

 

หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,478  วันที่ 13-15  มิถุนายน 2562

โบรกหั่นกำไร  กลุ่มพลังงาน Q2  แนะทยอยเก็บ หุ้น‘โรงกลั่น’