ภาครัฐแตะมือเอกชนปั้น“Green Living” ถึงมือผู้อาศัยรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมเริ่มเห็นผล“จริงจัง”
ผลสำรวจจากSCB EICพบว่าเทรนด์ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคของคนเจนเนอเรชั่นเบบี้บูมเมอร์และมิลเลนเนียลให้ความสนใจเรื่องที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้นโดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อลดการพึ่งพาทรัพยากรไฟฟ้าและน้ำในการอยู่อาศัยจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทั่วโลกตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่1990
แนวคิดการออกแบบที่อยู่อาศัยให้เกิดการประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่กำลังนิยมในขณะนี้คือออกแบบอาคารให้เปิดโล่งเพื่อให้แสงจากธรรมชาติส่องถึงพื้นที่ต่างๆภายในโครงการช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดีขึ้นลดการใช้เครื่องปรับอากาศรวมถึงใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่นคอนกรีตที่ผลิตจากขี้เถ้าหรือคอนกรีตที่เหลือใช้ใช้กระจกแบบLow-emissivity (Low-E) เพื่อป้องกันอากาศร้อนจากภายนอกเข้ามาภายในอาคารเป็นต้น
ขณะเดียวกันอาคารมาตรฐานโลกส่วนใหญ่ต้องได้รับมาตรฐานว่าเป็นGreen Buildingหรืออาคารอนุรักษ์พลังงานที่สะท้อนถึงความใส่ใจรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของผู้พัฒนาโครงการทั้งตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากขึ้นซึ่งประกอบด้วยมาตรฐานLEED (Leadership in Energy and Environmental Design) ที่ใช้ประเมินความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของอาคารในทั่วโลกและWELL Building Standard ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคารที่ได้การยอมรับในระดับสากล
กว่า80% ของGreen Building เป็นอสังหาฯในรูปแบบอาคารสำนักงาน(40%) และร้านค้า(40%) โดยมีค่าเช่าสำนักงานที่สูงกว่าอาคารทั่วไป20-25% การได้รับพื้นที่ก่อสร้างรวมของอาคารเพิ่มขึ้น5-20% จากค่าFAR Bonus(Floor Area Ration-พื้นที่อาคารต่อที่ดิน) ที่ระบุในกฎหมายผังเมืองว่าให้ส่งเสริมการพัฒนาผู้ประกอบการให้ใช้ประโยชน์ที่ดินได้มากขึ้นในกรณีที่มีการสร้างGreen Building
แม้ว่าการก่อสร้างลักษณะนี้ในไทยจะมีต้นทุนสูงกว่าอาคารทั่วไปถึง20% แต่ก็ได้รับความนิยมและขยายตัวอย่างต่อเนื่องเพราะนอกจากจะสามารถลดการใช้พลังงานได้10-48% แล้วยังช่วยเพิ่มค่าเช่าพื้นที่ได้มากกว่าอาคารทั่วไปได้5-10% และมีผลอย่างยิ่งหากต้องการมีกลุ่มผู้เช่าเป็นบริษัทข้ามชาติ
ในส่วนของอสังหาฯประเภทที่พักอาศัยมีหลายโครงการที่พัฒนาเพื่อรองรับอาคารรูปแบบนี้เช่นโครงการบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมของเสนาดีเวลลอปเมนท์ที่่ได้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปหลอดไฟLED และสถานีอัดประจุไฟฟ้า(EV Charger Station) เพื่อบริการให้กับลูกบ้านอาทิ นิชโมโนสุขุมวิท50และโครงการอื่นๆรวมทั้งสิ้น12 โครงการแล้วยังมีเป้าหมายที่จะขยายให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเพื่อให้ครอบคลุมการบริการมากขึ้นในอนาคต
ผู้ประกอบการรายอื่นก็ไม่น้อยหน้าอาทิแสนสิริชูแนวคิด“Sansiri Green Mission” เอพี(ไทยแลนด์) ประกาศวิสัยทัศน์“AP World” โดยมีโครงการนำร่องคือRhythm Ekkamai Estateด้านพร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟคก็ร่วมมือกับพันธมิตรจากญี่ปุ่นและปตท. ออกแบบที่พักอาศัยให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ภาครัฐและสถาบันการเงินพร้อมหนุน
ทางภาครัฐเองก็เริ่มมีการสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเช่นโครงการ“โซลาร์ภาคประชาชน” ของกระทรวงพลังงานที่สนับสนุนให้ประชาชนภาคครัวเรือนได้ผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์รูฟท็อปเพื่อนำพลังงานไฟฟ้ามาใช้เองและนำส่วนเกินที่เหลือจากการใช้ไปขายต่อให้กับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย(การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) โดยมีกำลังผลิตติดตั้งครัวเรือนละไม่เกิน10 กิโลวัตต์(kWp) กำหนดอัตราราคารับซื้อไฟฟ้าที่1.68 บาทต่อหน่วยโดยมีระยะเวลารับซื้อไฟฟ้ารวม10 ปีซึ่งจะส่งผลให้ราคาแผ่นโซลาร์เซลส์และการติดตั้งมีมูลค่าถูกลงและเพิ่มการใช้งานให้มากขึ้นในกลุ่มประชาชนทั่วไป
ในส่วนของกทม. ได้มีการเก็บค่าธรรมเนียมการบำบัดน้ำเสียเพื่อนำมาใช้เป็นต้นทุนในการดูแลและช่วยให้มีการก่อสร้างโรงบำบัดเพิ่มเพื่อให้น้ำมีความสะอาดใกล้เคียงกับธรรมชาติที่ดึงมาใช้มากที่สุด
นอกจากกรณีของGreen Building แล้วผังเมืองรวมกรุงเทพฯยังเพิ่มFAR Bonus ในกรณีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เพื่อประโยชน์สาธารณะซึ่งจูงใจให้ภาคเอกชนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้เอื้อต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยมากขึ้นเช่น
1. เพิ่มพื้นที่โล่งสาธารณะหรือสวนสาธารณะ
2. การเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำฝน
3. การจัดให้มีพื้นที่ว่างเพื่อประโยชน์สาธารณะริมแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำสาธารณะ
ขณะที่สถาบันการเงินอย่างธนาคารกสิกรไทยก็ให้การสนับสนุนสินเชื่อรับประกันการประหยัดพลังงาน(Solar Rooftop) แก่ผู้ประกอบการเพื่อลดต้นทุนธุรกิจเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้รัฐบาลเสริมสภาพคล่องของสถานะการเงินและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ความท้าทายใหม่เมื่อผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมสัดส่วนยังน้อย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าปัจจุบันผู้บริโภคจะมีความต้องการที่พักอาศัยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้นแต่เมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่แล้วยังเป็นสัดส่วนที่น้อยมากโดยส่วนมากยังมุ่งไปที่“ความคุ้มค่า” ของการลงทุนเป็นหลักว่าจะส่งผลดีกับตนเองอย่างไรบ้างแต่ไม่ได้มองไกลไปถึงว่าจะช่วยสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างไร
สิ่งเหลาานี้ถือเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการอสังหาฯและภาครัฐที่จะต้องช่วยกันผลักดันให้คนส่วนใหญ่มองเห็นถึงประโยชน์ของการปรับตัวเพื่อให้ตระหนักว่าการทำเพื่อส่วนรวมนั้นส่งผลด้านบวกกลับมาที่ตัวเองอย่างไรบ้างโดยที่อยู่อาศัยที่โฟกัสเรื่อง“Green” ไม่ได้เน้นแค่สิ่งแวดล้อมเท่านั้นแต่มอบ“ความยั่งยืน” ให้กับผู้พักอาศัยถึง3 มิติด้วยกันคือ
• คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสุขภาพของผู้อาศัยเช่นสีทาบ้านปลอดสารพิษที่ไม่มีสารระเหยจึงไม่กระทบต่อสุขภาพแล้วยังมีความทนทานสามารถใช้ได้ยาวนานนับสิบปี
• ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวจากการใช้พลังงานทดแทนเช่นโซลาร์รูฟท็อปซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นในสหรัฐฯเนื่องจากนโยบายที่อนุญาตให้หัก30% ของค่าใช้จ่ายการติดตั้งแผงโซลาร์ไปลดภาษีประจำปีได้ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารวมถึงการนำเทคโนโลยีSmart Homeมาใช้เพื่อช่วยบริหารจัดการไฟฟ้าภายในบ้านได้อย่างชาญฉลาดและประหยัดค่าใช้จ่าย
• เป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยการจัดการของเสียโดยการนำกลับมาใช้ใหม่เช่นรีไซเคิลน้ำที่ใช้ในการชำระล้างมาใช้รดน้ำต้นไม้ในพื้นที่ส่วนกลางนำเศษคอนกรีตที่เหลือจากการก่อสร้างมาแปรรูปเพื่อใช้ในส่วนต่างๆของโครงการที่พักอาศัย
ท้ายที่สุดแล้วเรื่อง“สิ่งแวดล้อม” ไม่ได้ไกลตัวไปจากเราเลยแต่กลับอยู่ใกล้แค่เอื้อมดังนั้นการใส่ใจสิ่งรอบตัวก็ส่งผลดีกลับมาที่ตัวเราด้วยเช่นกัน