“อีริคสัน-ซัมซุง”อวดศักยภาพ 5G

18 มิ.ย. 2562 | 07:31 น.

 ปัจจุบันการวางเครือข่าย 5G กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อีริคสัน ผู้พัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายโทรคมนาคม ได้นำเสนอ 5G แพลตฟอร์มใหม่ ๆ แก่ผู้ให้บริการทั่วโลก ด้วยการนำเสนอซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ให้บริการในการสร้างเครือข่าย 5G ซึ่งโซลูชั่นใหม่นี้จะมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นในด้านการรองรับปริมาณการรับส่งข้อมูล และขอบข่ายที่กว้างมากยิ่งขึ้น ทำให้การเปลี่ยนถ่ายเครือข่ายเทคโนโลยีเป็นไปได้ง่ายและยังสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค รวมทั้งภาคอุตสาหกรรม ให้นำไปประยุกต์ใช้ได้ง่ายขึ้น

“อีริคสัน-ซัมซุง”อวดศักยภาพ 5G

 

ในขณะที่อีริคสันสนับสนุนผู้ให้บริการให้เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี และวางระบบ 5G ด้วยการใช้เทคโนโลยีแบบผสมผสานการส่งข้อมูลแบบ 5G ผ่านระบบโครงข่าย LTE (หรือ 4G) หรือที่เรียกว่า non-standalone (NSA) 5G New Radio (NR) วันนี้อีริคสันได้นำเสนอซอฟท์แวร์ใหม่ สำหรับการใช้งาน 5G แบบสมบูรณ์ หรือ Standalone New Radio (NR) เพื่อเพิ่มทางเลือกแก่ผู้ให้บริการ ซอฟท์แวร์ใหม่นี้ถูกออกแบบมาสำหรับสถาปัตยกรรมของเครือข่ายแบบใหม่ ที่ทำให้อัตราความหน่วงที่ต่ำมาก และสามารถครอบคลุมเครือข่ายได้ดีขึ้น

 

นอกจากนี้อีริคสันยังได้พัฒนาโซลูชั่นคลาวด์ ด้วยการยกระดับการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งจะทำให้ผู้ให้บริการสามารถนำเสนอบริการใหม่ ๆ จาก 5G แก่ผู้บริโภคและในส่วนของผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี AR (augmented reality: เทคโนโลยีโลกเสมือน) รวมทั้งการรับส่งข้อมูลด้วยค่าใช้จ่ายและความหน่วงที่ต่ำ แต่ได้ความแม่นยำสูง

 

 

 

 

เฟริดดริก เจดดริงก์ รองประธานบริหารและหัวหน้างานฝ่ายธุรกิจเครือข่ายของอีริคสัน กล่าวว่า “เราพยายามที่จะสนับสนุนลูกค้าของเราทุกราย เพื่อให้ประสบความสำเร็จในด้าน 5G อย่างต่อเนื่อง โซลูชั่นใหม่นี้จะช่วยให้ผู้ให้บริการเปลี่ยนถ่ายเครือข่ายไปสู่ 5G เพื่อให้ถึงเป้าหมายได้โดยง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด”

 

ซอฟต์แวร์ใหม่ สำหรับการใช้งาน 5G แบบสมบูรณ์ หรือ Standalone New Radio (NR) สามารถติดตั้งได้บนอุปกรณ์ของอีริคสันที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ควบคู่กับ 5G dual-mode Cloud Core solutions ของอีริคสัน ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเปิดโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ให้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวางสถาปัตยกรรมที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว รองรับการทำ network slicing ทำให้บริการรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

 

ทุกวันนี้ คลื่นความถี่ในย่านต่ำจะเป็นความถี่หลักในการขยายโครงข่ายของ 5G และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีริคสันยังได้นำเสนอซอฟท์แวร์ใหม่ที่เรียกว่า Inter-band NR Carrier Aggregation ที่จะช่วยขยายขอบข่าย และเพิ่มปริมาณในย่านความถี่ระดับกลางและระดับสูง ในกรณีที่ต้องทำการผสมผสาน ซึ่งจะเพิ่มความเร็วของการเชื่อมต่อภายในอาคารและในพื้นที่ห่างไกล ทั้งนี้ อีริคสันได้คิดค้น และเพิ่มโซลูชั่นใหม่ 2 ตัวเข้าไปในผลิตภัณฑ์กลุ่มอุปกรณ์การสื่อสารไร้สาย เพื่อให้ผู้ให้บริการสร้างเครือข่าย 5G ได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น  

 

อย่างที่เข้าใจกันว่า 5G ทำให้เกิดเทคโนโลยีเสมือน (AR: augmented reality) การเล่นเกม รวมทั้งแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่ต้องการความหน่วงที่ต่ำ รองรับการรับส่งข้อมูลในปริมาณมาก ด้วยความแม่นยำสูง เพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ อีกทั้งยังสามารถนำเสนอบริการใหม่ ๆ แก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ อีริคสันได้พัฒนาโซลูชั่นคลาวด์ ด้วยการนำเสนอ Network Functions Virtualization Infrastructure: NFVI ยกระดับการจัดการเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โซลูชั่นนี้เป็นโซลูชั่นที่กระทัดรัด แต่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการของระบบคลาวด์ที่ให้บริการตั้งแต่ต้นจนจบ (end-to-end) สามารถรองรับปริมาณข้อมูลที่มีความซับซ้อนได้อย่างมาก ยกระดับประสิทธิภาพการทำงานและบริการใหม่ ๆ ในคลาวด์ได้

 

อีริคสันยังได้เปิดเผยถึงข้อมูลเกี่ยวกับคู่ค้าทางธุรกิจในการทำเครือข่ายแบบเสมือนที่ได้รับรองมาตรฐาน หรือที่เรียกว่า virtual network functions (VNF) บริการนี้เปิดให้ผู้ผลิตเครือข่ายเสมือน (VNF) ได้ใบรับรอง และใช้บริการห้องปฎิการของอีริคสัน ซึ่งแนวคิดนี้จะส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศ 5G ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น จากการร่วมมือกับคู่ค้าและผู้ผลิตแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ  

“ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์” เป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกมา 35 ปี และยังเป็นผู้บุกเบิกระบบ 5G โดยมุ่งมั่นที่จะนำทุกองค์ประกอบของกระบวนการพัฒนารวมเข้าไว้ด้วยกัน ตั้งแต่การวิจัยถึงการพัฒนา ไม่เพียงในระดับมือถือ แต่ในระดับเครือข่ายทั่วโลก รวมถึงยังเป็นผู้สร้างมาตรฐานการส่งข้อมูลทางคลื่น 5G ซึ่งได้รับการอนุมัติครั้งแรกในช่วงปลายปี 2560 ส่งผลให้ซัมซุงสามารถเปิดตัวสมาร์ทโฟน 5G ที่สมบูรณ์แบบที่สุดเครื่องแรกของโลกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านม อีกทั้งยังมีบทบาทเป็นผู้นำในการกำหนดมาตรฐานระหว่างประเทศสำหรับการเปลี่ยนผ่านจาก 3G สู่ LTE และด้วยประสบการณ์ที่ไม่ได้จำกัดแค่โครงสร้างพื้นฐานนี้เองทำให้บริษัทพร้อมที่จะเป็นผู้นำการพัฒนา 5G อย่างแท้จริง

“อีริคสัน-ซัมซุง”อวดศักยภาพ 5G

ความท้าทายที่เกิดขึ้นสำหรับซัมซุงคือ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอุปกรณ์มือถือที่รองรับแถบความถี่สูงมาก่อน บริษัทจึงต้องมีการศึกษาเพื่อพัฒนาฮาร์ดแวร์ของกาแลคซี่ เอส 10 5G ในแง่ของการสร้างโซลูชั่นที่รองรับแถบความถี่สูงเพื่อลดปัญหาสัญญาณอ่อน อันเป็นผลมาจากสิ่งกีดขวางทางกายภาพหรืออุปสรรคที่ปิดกั้นคลื่นความถี่ โดยเฉพาะเมื่อเจอกับวัตถุโลหะ เนื่องจากบริษัทได้สะสมประสบการณ์และองค์ความรู้ที่หลากหลายมาอย่างยาวนาน ทำให้รู้ถึงความต้องการและการใช้งานสมาร์ทโฟนในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคที่มักจะใช้งานอยู่เกือบตลอดเวลา จึงสามารถพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อให้ตัวเครื่องเชื่อมต่อสัญญาณ 5G ได้อย่างลื่นไหลไม่สะดุดสมกับเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมนี้อย่างแน่นอน

 

การสื่อสารด้วยเทคโนโลยีไร้สายถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยุค 2G ไปสู่ 3G และ 4G ซึ่งทำให้การสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยภาพ เสียง หรือวิดีโอสามารถทำได้รวดเร็วมากขึ้น และเทคโนโลยีใหม่อย่าง 5G ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในขณะนี้จะมีความพิเศษในการรับ-ส่ง ข้อมูลเร็วขึ้นกว่าเทคโนโลยีก่อนหน้าถึงกว่า 10 เท่า อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพสูงกว่าเนื่องจากสามารถรองรับปริมาณข้อมูลได้มากกว่าในช่วงเวลาเท่ากัน

 

เมื่อมีระบบ 5G แบบครบวงจร ความสมบูรณ์ของแบนด์วิดธ์ในเครือข่ายจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การส่งผ่านของข้อมูลมีความหน่วงต่ำสุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะเกิดผลดีต่อทุกอุตสาหกรรมในภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นระบบความปลอดภัยของรถยนต์สมาร์ทคาร์, เสถียรภาพของโรงงานอัจฉริยะ, ความแม่นยำของหุ่นยนต์อัจฉริยะในการใช้งานด้านการแพทย์, รวมถึงในด้านของเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City ระบบ 5G จะช่วยยกระดับศักยภาพการเชื่อมต่อ พร้อมกันเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ระบบ LTE

 

“อีริคสัน-ซัมซุง”อวดศักยภาพ 5G

เมื่อพูดถึงอุปกรณ์สำหรับ 5G ซัมซุงได้พัฒนานวัตกรรมฮาร์ดแวร์ครั้งใหญ่เพื่อรองรับฮาร์ดแวร์ของสัญญาณ LTE ทั้งหมด พร้อมกับเพิ่มชิ้นส่วนของระบบ 5G โดยเฉพาะอย่างชิปโมเด็ม 5G และชิป 5G RF ซึ่งจำเป็นต้องมีชิ้นส่วนอื่นๆ เพิ่มเติม ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาดีไซน์ในแบบฉบับ Unibody ของเครื่อง   กาแลคซี่เอาไว้ ส่งผลให้ ‘กาแลคซี่ เอส 10 5G’ ยังคงไว้ด้วยดีไซน์เพรียวบางอันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงยังได้ติดตั้งเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เพิ่มประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ ซีพียู และแรมโดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้บริโภคสามารถใช้เครื่องได้ยาวนานไม่เปลืองพลังงานจากแบตเตอร์รี่ ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟน 5G เครื่องแรกของโลก ที่วางจำหน่ายในประเทศเกาหลีใต้ตั้งแต่วันที่  5 เมษายน 2019 ที่ผ่านมา

 

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ยังคงเป็นผู้นำอันดับ 1 ในด้านนวัตกรรมและโซลูชั่นสำหรับมือถือ ด้วยการนำสมาร์ทโฟน 5G มาให้บริการเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จเป็นรายแรกของโลก และต่อจากนี้ซัมซุงยังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจต่อไปเพื่อมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกันได้อย่างแท้จริง