เอฟู้ดส์รุกตลาดหนักทั้งในและต่างประเทศ ลุยเปิด 2 สาขาใช้กลยุทธ์เข้าหาลูกค้าที่ทำธุรกิจโดยตรง พร้อมนำเสนอโปรโมชันล่อลูกค้าหน้าร้าน เผยอยู่ระหว่างเจรจาธุรกิจส่งออกกับสหรัฐฯ และประเทศในสหราชอาณาจักร เชื่อรายได้ปีนี้แตะ 50 ล้านบาท
นางสาวทิพย์วรรณ ไกรเพ็ชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรซโกรเซอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแช่แข็งแบรนด์ “A+Food” (เอฟู้ดส์) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปีนี้บริษัทจะมีการทำตลาดอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ หลังจากที่ได้มีการเปิดหน้าร้านจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 2 สาขาที่มุกดา หาร และตลาดไท (กรุงเทพมหานคร) โดยกลยุทธ์การทำตลาดในประเทศจะมุ่งเน้นการทำธุรกิจในรูปแบบธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) เป็นหลัก
ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการส่งทีมการตลาดเข้าหาลูกค้าโดยตรง ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหาร,โรงแรม และผู้ประกอบการที่ต้องการอาหาร แช่แข็งเพื่อไปจำหน่ายต่อ โดยในระยะแรกจะเน้นลูกค้าในโซนรอบนอกกรุงเทพฯ เช่น ปทุมธานี, อยุธยา และสระบุรี หลังจากนั้นในลำดับถัดไปจะเข้าทำตลาดกับลูกค้าในกรุงเทพชั้นใน ซึ่งมีร้านอาหารอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ทองหล่อ และสุขุมวิท เป็นต้น โดยมองว่าผู้ประกอบการดังกล่าวเหล่านี้มีความต้องการอาหารแช่แข็งมากขึ้น เนื่องจากสามารถควบคุมคุณภาพของอาหาร รวมถึงมีอายุในการเก็บได้ยาวนาน และไม่มีต้นทุนแอบแฝง
ขณะที่กลยุทธ์การจำหน่ายหน้าร้าน บริษัทจะมีโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้ารายย่อยเดือนละครั้ง พร้อมทั้งการประชาสัมพันธ์ให้ร้านเป็นที่รู้จักของผู้บริโภค โดยตั้งเป้าให้มีสัดส่วนลูกค้าแบบ B2B ประมาณ 70% และเป็นลูกค้าหน้าร้านประมาณ 30% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน B2B อยู่ที่ 95% และลูกค้าหน้าร้านอยู่ที่ 5% ซึ่งเชื่อว่าสัดส่วนจะทยอยปรับขึ้นจึงถึงระดับที่วางเป้าหมายเอาไว้ตามกลยุทธ์ในการทำตลาด
ส่วนการทำตลาดส่งออกต่างประเทศนั้น ล่าสุดกำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาทางธุรกิจ และการขอใบอนุญาตรับรองผลิตภัณฑ์กับประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในสหราชอาณาจักร (UK) จากเดิมที่ทำตลาดส่งออกกับประเทศเกาหลี นอกจากนี้ บริษัทยังจะดำเนินการทำตลาดผ่านเว็บไซต์ไทย
เทรดดอทคอม (www.Thaitrade.com) ซึ่งบริษัทเป็นสมาชิกอยู่
นางสาวทิพย์วรรณ กล่าวต่อไปอีกว่า ในส่วนของรูปแบบออนไลน์บริษัทยังมีการทำตลาดผ่านเว็บไซต์ตลาดสดดอคอม (www.taradsodd.com) โดยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ อยู่ที่การเป็นอาหารแช่แข็งจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน พร้อมทั้งสามารถทำตามออร์เดอร์สินค้าในแบบที่ลูกค้าต้องการจะใช้ในธุรกิจได้ ซึ่งมาจากความได้เปรียบของบริษัทที่ทำธุรกิจร่วมกับโรงงานผู้ผลิตมานาน และการให้บริการจัดส่งสินค้า ซึ่งตามปกติร้านส่วนใหญ่ในตลาดไทจะไม่มีให้บริการ
จากกลยุทธ์ในการทำตลาดดังกล่าวเชื่อว่าจะสามารถทำให้บริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 3-5 ล้านบาทต่อเดือน หรือประมาณ 50 ล้านบาทในปีนี้ โดยมองว่าแนวโน้มของการทำธุรกิจอาหารแช่แข็งยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในระยะยาว เนื่องจากผู้บริโภคต่างประเทศมีความนิยมอาหารแช่แข็งมานานไม่ว่าจะเป็นที่สหรัฐฯหรือประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจีน และอินเดีย เป็นต้น แต่ตลาดในประเทศเพิ่งเริ่มจะได้รับความนิยม โดยตนมีความเชื่อว่าอาหารในรูปแบบดังกล่าวจะเป็นอนาคตของอาหารสำหรับผู้บริโภค
“กระบวนการผลิตของอาหารแช่แข็งมีมาตรฐาน ที่มากกว่าอาหารสดที่จำหน่ายด้วยการเข้าไปที่โรงงานแช่แข็งหลังจากกระบวนการตัดแต่ง โดยผ่านอุปกรณ์ทำความเย็นที่อุณหภูมิติดลบ 40 องศาเซลเซียส เพื่อให้สามารถเก็บรักษาอาหารได้นาน 18-24 เดือน ซึ่งหากมองตามภาพแล้วต้นทุนอาจจะดูสูงกว่าอาหารสด แต่อาหารแช่แข็งจะมีการระบุชัดเจนว่าเมื่อละลายนํ้าแข็งออกนํ้าหนักของอาหารจะเหลืออยู่ที่เท่าไหร่ และเก็บรักษาไว้ใช้งานต่อได้ แตกต่างจากอาหารสดที่เก็บต่อได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นจึงมองว่านี่คืออนาคตของอาหารที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก”
ด้านผู้บริโภคยุคใหม่เองก็มีการรับรู้เรื่องของกระบวนการผลิต และเทคโนโลยีทางด้านอาหารมากมายจากหลากหลายช่องทาง ทำให้พอจะทราบว่าอาหารแต่ละประเภทมีต้นทุนอย่างไร โดยพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่จะมองเรื่องของคุณภาพและราคาที่สมเหตุสมผลสอดคล้องกัน
หน้า 8 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3482 วันที่ 27-29 มิถุนายน 2562