เปรียบมวย EV เอ็มจี แซดเอส-นิสสัน ลีฟ ซื้อคันไหน?

29 มิ.ย. 2562 | 01:45 น.

“เอ็มจี”ทำตลาดรถพลัง งานไฟฟ้า 100% ตามสัญญา ด้วยการนำเข้า “แซดเอส อีวี” มาจากโรงงานผลิตประเทศจีน เครือข่ายของบริษัทแม่ SAIC เซียงไฮ้ ออโตโมทีฟฯ

แบรนด์น้องใหม่ที่มีเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ร่วมลงขันเพื่อ ทำธุรกิจในไทย ยังทำตามสัญญาที่ว่าหากมีอีวีทำตลาดแล้ว ราคาจะต้องเข้าถึงง่าย ซึ่งการเปิดตัวได้ยืนยันคำมั่นพร้อมสร้างความประหลาดใจด้วยค่าตัว 1.19 ล้านบาท ตํ่าที่สุดในบรรดาอีวีที่นำเข้ามาขายเมืองไทย

ตามที่ “ฐานยานยนต์” เคยรายงานไปหลายครั้งว่า การนำเข้าอีวีจากจีนมาไทยจะไม่เสียภาษีนำเข้า ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน ต่างจากการนำเข้ามาจากยุโรปที่ยังต้องโดนภาษีนำเข้า 80% หรือ ญี่ปุ่นที่ทำเอฟทีเอ ไว้เช่นกันแต่ยังมีกำแพงภาษีอยู่ 20%(ไม่รวมภาษีสรรพสามิตที่โดน 8%และภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7%)

แซดเอส อีวี ราคา 1.19 ล้านบาท (รุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรราคา 6.79 แสนบาท) จองวันนี้รับรถได้เดือนกรกฎาคมทันที โดย ล็อตแรกนำเข้ามา 300 คัน และเอ็มจีต้องการบูมกระแสด้วยโปรโมชันเพิ่มการรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่ 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และฟรีประกันภัยชั้น 1 ฟรีเอ็มจี โฮม ชาร์เจอร์ พร้อมค่าติดตั้งมูลค่า 6.5 หมื่นบาท รวมข้อเสนอพิเศษมูลค่าเกือบ 1 แสนบาท สำหรับรถ 1,000 คันแรก

เปรียบมวย EV เอ็มจี แซดเอส-นิสสัน ลีฟ ซื้อคันไหน?

 

แน่นอนว่า แซดเอส อีวี ยังพัฒนาขึ้นบนโครงสร้างเดิมของ แซดเอส รุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน ต่างจาก นิสสัน ลีฟ ที่เกิดมาเป็นรถพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะและมีชื่อเสียงพร้อมสร้างความมั่นใจในการใช้งานมาก่อน หลังจากขายไปแล้วในเจเนอเรชันแรกกว่า 3 แสนคันทั่วโลก(ตั้งแต่ปี 2553) ขณะที่เจเนอเรชันที่ 2 นับตั้งแต่เปิดตัวปลายปี 2560 ถึงวันนี้ยอดทะลุ 1 แสนคันไปเรียบร้อย

นั่นเท่ากับว่ายอดขายกว่า 4 แสนคันทั่วโลก ทำให้นิสสันมีข้อมูลเรื่องการใช้งาน มีประสบ การณ์ในการขายพอสมควร แม้การทำตลาดในประเทศกำลังพัฒนาการตอบรับอาจจะไม่เปรี้ยงปร้าง อย่างประเทศไทยด้วยราคา 1.99 ล้านบาทถึงวันนี้ยังขายไม่ถึง 50 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ด้านสเปกของมอเตอร์ไฟฟ้าและขนาดแบตเตอรี่ ถือว่ารถ 2 รุ่นนี้ใกล้เคียงกัน หรือกำลังเท่ากันที่ 150 แรงม้า ต่างกันตรงแรงบิดที่ แซดเอส อีวี จัดไป 350 นิวตัน-เมตร ส่วน ลีฟ 320 นิวตัน-เมตร ขณะเดียวกันชุดแพ็กแบตเตอรี่ที่มีผลโดยตรงต่อระยะทางการวิ่ง ค่ายแรกขนาด 44.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง เคลมระยะทางวิ่งตามมาตรฐาน NEDC (การทดสอบความประหยัดนํ้ามันและมลพิษของยุโรป) ไว้ 337 กิโลเมตร ส่วนอีวีจากญี่ปุ่นใช้แบตเตอรี่ 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง วิ่งได้ 311 กิโลเมตรตามมาตรฐานเดียวกัน

การชาร์จด้วย “วอลล์บ็อกซ์” ที่บ้าน (เครื่องและระบบไฟฟ้าตามที่ทั้ง 2 ค่ายรถยนต์รับรอง โดยมอบหมายให้ผู้ติดตั้งอย่างเป็นทางการดูแล) แบตเตอรี่และออน บอร์ดชาร์จเจอร์ของ แซดเอส อีวี จะใช้เวลา 6.5 ชั่วโมง ส่วนนิสสัน ลีฟ 6 ชั่วโมง ต่อการชาร์จจาก 0% ถึงเต็ม100%

ในส่วนระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ของ แซดเอส อีวี สามารถชาร์จพลังงานในระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) ที่เลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง3 ระดับ นอกจากนี้ยังสามารถปรับโหมดการขับขี่ได้ 3 รูปแบบทั้ง Eco เพื่อการประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น แบบ Normal สำหรับการขับขี่ทั่วไป และแบบ Sport เพื่อการขับขี่ที่เร้าใจ

 

ตลอดจนระบบอำนวยความสะดวกความปลอดภัยที่น่าสนใจ ไล่ตั้งแต่ ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วตํ่า ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ ระบบช่วยเตือนและควบคุมเมื่อรถออกนอกเลน ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา และระบบเตือนขณะถอยหลัง RCTA

ขณะที่นิสสัน ลีฟ ภูมิใจเสนอเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Driving) อย่าง  e-Pedal ระบบช่วยให้ผู้ขับออกตัว เร่งความเร็ว ลดความเร็ว หยุดนิ่งและควบคุมตัวรถให้อยู่กับที่ด้วยการใช้แป้นคันเร่งอย่างเดียว อย่างกรณียกเท้าออกจากคันเร่ง ตัวรถจะลดความเร็วจนหยุดนิ่งโดยไม่ต้องแตะแป้นเบรก

ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์ด้านหน้าขณะขับขี่ ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง ระบบตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุ และบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน

ศึกยกแรกของแบรนด์รถยนต์ระดับแมสกับการทำตลาดรถพลังงานไฟฟ้า ที่ “เอ็มจี” อาศัยแฮนดิแคปด้านภาษีและการพัฒนาเทคโนโลยีในราคาเข้าถึงได้ง่ายจากบริษัทแม่ ส่วน“นิสสัน”ที่พยายามทำอีโคซิสเต็มของตลาดอีวีให้เกิดขึ้น ควบคู่ไปกับสร้างการรับรู้ในเทคโนโลยีขับเคลื่อนลํ้าสมัย แต่ด้วยราคาเกือบ 2 ล้านบาทของ “ลีฟ” คงต้องลุ้นจากยอดขายล็อตใหญ่ให้หน่วยงานราชการ-เอกชนมาสมทบด้วย 

 

หน้า 28-29 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,482 วันที่ 27 - 29 มิถุนายน พ.ศ. 2562