ทาคาชิมายะ ห้างดังจากญี่ปุ่นตัดสินใจปิดสาขาในเซี่ยงไฮ้ มีผลในเดือนสิงหาคมนี้ และนั่นหมายถึงการยุติการดำเนินงานในประเทศจีนที่บริษัททำยอดขาดทุนมาตลอด 7 ปี
เอเชียน นิกเกอิ รีวิว รายงานว่า การตัดสินใจถอนยวงธุรกิจออกจากประเทศจีนของเชนห้างสรรพสินค้าชั้นนำของญี่ปุ่นรายนี้เกิดจากการแบกรับภาระขาดทุนมาโดยตลอด และผู้บริหารของทาคาชิมายะก็เชื่อว่าการจะพลิกฟื้นสถานการณ์ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเศรษฐกิจของจีนกำลังเข้าสู่ภาวะขยายตัวในอัตราชะลอลง ซ้ำยังมีผลกระทบจากการสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯที่ทำให้ผู้คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง อีกทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคของจีนโดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ยังนิยมการซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่าการซื้อในร้านค้า เป้าหมายหน้าของทาคาชิมายะจึงเป็นตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ที่ยังดูมีลู่ทางที่สดใส
ผู้บริหารของทาคาชิมายะยังต้องเจรจาหารือกับหน่วยงานท้องถิ่นของจีนเกี่ยวกับการปิดสาขาดังกล่าว หลังจากนี้ไปทางห้างจะให้น้ำหนักการลงทุนในประเทศอาเซียนมากขึ้น
ข่าวระบุว่า สาขาห้างทาคาชิมายะในเมืองเซี่ยงไฮ้เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2555 เป็นสาขาใหญ่ มีพื้นที่โดยรวมถึง 40,000 ตารางเมตร กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมุ่งไปที่ผู้มีรายได้สูงในเมืองเซี่ยงไฮ้ สินค้าเน้นไปที่แบรนด์เนมหรูหรา แต่โชคไม่เข้าข้างนัก เพราะทาคาชิมายะเข้ามาเปิดห้างหลังจากที่จีนและญี่ปุ่นเพิ่งจะมีข้อพิพาทบาดหมางกันหมาดๆ ซึ่งส่งผลให้มีกระแสต่อต้านญี่ปุ่นอย่างกว้างขวางในประเทศจีน อีกทั้งช่วงเวลาดังกล่าวเทรนด์ช้อปปิ้งออนไลน์ก็กำลังได้รับควานิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลกระทบทางลบต่อยอดขายของห้างสรรพสินค้าโดยตรง
ดังนั้น ในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา (สิ้นสุด ณ กุมภาพันธ์ 2562) แม้ยอดขายของห้างทาคาชิยามะสาขาเซี่ยงไฮ้จะขยับขึ้น 0.7 % คิดเป็นมูลค่า 3,200 ล้านเยน แต่ก็ยังอยู่ในภาวะขาดทุนและเป็นการขาดทุน 7 ปีติดต่อกันมา โดยล่าสุด ยอดขาดทุนดำเนินการของสาขาดังกล่าวสูงถึง 900 ล้านเยน
แต่ถึงแม้จะปิดฉากตลาดจีนอย่างไม่สวยนัก ทาคาชิมายะมีแผนเดินหน้ารุกขยายสาขาในต่างแดนอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน ทางห้างมีสาขาในต่างแดนในอีก 3 ประเทศ คือ เวียดนาม (โฮจิมินห์) สิงคโปร์ และไทย (สาขาไอคอนสยาม)
สาขาแรกในกรุงโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนามเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการขยายฐานลูกค้าครอบคลุมกลุ่มครอบครัวมากขึ้น และบริษัทกำลังพิจารณาแผนจะเปิดอีก 1 สาขาในเวียดนาม ขณะที่สาขาในสิงคโปร์ที่เปิดในปี 2536 และเป็นสาขาแรกในต่างประเทศ ก็กำลังไปได้ดี สามารถทำกำไรดำเนินการให้บริษัทได้ในสัดส่วนถึง 20% ของผลกำไรจากการดำเนินการทั้งหมด ส่วนสาขาแรกในกรุงเทพฯเพิ่งเปิดตัวเมื่อปลายปี 2561 บริษัทตั้งเป้าว่าจะสร้างฐานลูกค้าประจำ (repeat customer) ให้ได้ในสาขาที่มีอยู่ทั้ง 3 แห่งในอาเซียน และทำให้ทุกสาขามีผลกำไรให้ได้ภายในปีการเงินที่สิ้นสุด ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2566 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า