ชำแหละข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA ดันเวียดนามเป็นเสือติดปีกแห่งอาเซียน

09 ก.ค. 2562 | 00:00 น.

สหภาพยุโรป (อียู) และเวียดนาม ได้ลงนามในข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA แล้วเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2562 นับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เปิดศักราชใหม่ให้กับความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย ข้อตกลงดังกล่าวจะทลายกำแพงภาษีสินค้าเกือบ 99% ของสินค้าทั้งหมดที่อียูและเวียดนามมีการค้าขายกันอยู่ในปัจจุบัน โดย 65% ของสินค้าที่อียูส่งออกมายังเวียดนาม อัตราภาษีจะหายไปในทันที สินค้าที่เหลือ 35% ภาษีจะค่อยๆ ลดลงมาจนหมดไปภายใน ระยะเวลา 10 ปี ขณะเดียวกัน 71% ของสินค้าเวียดนามที่ส่งออกไปยังตลาดอียู อัตราภาษีจะเหลือ 0% ทันทีที่ข้อตกลงนี้มีผลบังคับใช้ ที่เหลือจะค่อยๆลดลงจนหมดภายในระยะเวลา 7 ปี

 

ข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA เป็นข้อตกลงทวิภาคีรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมประเด็นต่างๆที่หลากหลายนอกเหนือจากเรื่องสิทธิประโยชน์การค้าและการลงทุนระหว่าง กันแล้ว ยังมีประเด็นเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา (IP) การเปิด เสรีการลงทุน และการพัฒนาอย่าง ยั่งยืน ซึ่งหมายถึงการให้ความสำคัญกับมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิแรงงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) รวมทั้งการ คุ้มครองสิ่งแวดล้อมภายใต้ปฏิญญา ขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)

บุกลงทุน 18 อุตสาหกรรมกว่า 2 พันโครงการ

อียูและเวียดนามเริ่มเจรจาเพื่อปูทางสู่การทำความตกลงการค้าเสรีฉบับนี้มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2555 และการเจรจาลุล่วงด้วยดีในเดือนธันวาคม 2558 การลงนามให้สัตยาบันโดยรัฐสภาของทั้ง 2 ฝ่ายมีความล่าช้าเล็กน้อยเนื่องจากรายละเอียดที่ต้องไกล่เกลี่ยกันให้ลงตัวและอียูเองติดพันการทำความตกลงการค้าเสรีกับสิงคโปร์ซึ่งก็ลุล่วงด้วยดีไปก่อนหน้าแล้ว อย่างไรก็ตาม คาดว่าการให้สัตยาบันข้อตกลง EVFTA จะสำเร็จลุล่วงภายในสิ้นปีนี้

 

ความสัมพันธ์ของอียูและเวียดนามนั้น ถือว่าราบรื่นมาโดยตลอด สถิติ ณ สิ้นปี 2018 ชี้ว่า อียูเป็นผู้ลงทุนโดยตรง (FDI) รายใหญ่ในเวียดนามด้วยมูลค่าการลงทุนรวมมากกว่า 23,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวนโครงการลงทุน 2,133 โครงการ เฉพาะปี 2018 มูลค่าการลงทุนใหม่ของอียูในเวียดนามอยู่ในระดับเกือบๆ 1,100 ล้านดอลลาร์ สาขาการลงทุนนั้นแบ่งออกเป็น 18 อุตสาหกรรม และการลงทุนของอียูกระจายอยู่ใน 52 จังหวัด (จากทั้งหมดที่มีอยู่ 63 จังหวัด) เรียกได้ว่า อียูลงทุนเกือบจะครอบคลุมทั่วประเทศเวียดนามแล้ว โดยสาขาการลงทุนที่โดดเด่นที่สุดได้แก่ การผลิตในภาคอุตสาหกรรม การผลิตกระแสไฟฟ้า และอสังหาริมทรัพย์

ชำแหละข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA  ดันเวียดนามเป็นเสือติดปีกแห่งอาเซียน

เมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศ จะพบว่าในบรรดา 24 ประเทศสมาชิกอียูที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามนั้น เนเธอร์แลนด์เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุด ตามมาด้วยฝรั่งเศส และอังกฤษ ตามลำดับ และเมื่อมองความสำคัญในแง่การค้า เวียดนามเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของอียูในภูมิภาคอาเซียน (เวียดนามแซงหน้าทั้งอินโดนีเซียและไทย) ขณะที่อียูเองก็เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ของภูมิภาคอาเซียน

 

กระตุ้นจีดีพีโตเพิ่มกว่า 3%

รัฐบาลเวียดนามระบุว่า ข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA จะช่วยกระตุ้นการส่งออกของยุโรปมายังเวียดนาม 15.28 %และจะกระตุ้นจากส่งออกสินค้าเวียดนามไปยังยุโรป 20% ภายในปีหน้า (2563) ทั้งยังจะเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ของเวียดนาม 2.18 -3.25% ต่อปีภายในปี 2566 และเพิ่มเป็น 4.57 -5.3% ระหว่างปี 2564-2571

 

สำหรับอุตสาหกรรมส่งออกหลักๆ ของเวียดนาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานผลิตจำนวนมาก อาทิ เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ สมาร์ทโฟน สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า ฯลฯ รวมทั้งสินค้าเกษตร เช่น เมล็ดกาแฟ จะได้รับอานิสงส์จากข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA ยกตัวอย่างเครื่องนุ่งห่มและรองเท้าที่เวียดนามส่งออกไปยังอียูปีละ 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราภาษีจะลดลงเหลือ 0% ภายใน 7 ปี ส่วนสินค้าอิเล็ก ทรอนิกส์ นอกจากจะมีแนวโน้มมูลค่าส่งออกสูงขึ้นแล้ว เชื่อว่าจะมีการยกระดับอุตสาหกรรม-เพิ่มมูลค่าการผลิตสู่สินค้าที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น

 

ในส่วนของอียูนั้น ข้อตกลงการค้าเสรีดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทของยุโรปเข้าสู่ตลาดที่เคยถูกปิดกั้นได้มากขึ้น เช่น ตลาดยา และเวชภัณฑ์ของเวียดนาม ซึ่งเมื่อข้อตกลงมีผลบังคับใช้ สินค้ากลุ่มนี้ราวครึ่งหนึ่งจะได้รับการยกเว้นภาษีในทันทีและที่เหลือจะค่อยๆลดลงจนหมดไปภายใน 7 ปี บริษัทยายุโรปยังจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาตั้งบริษัทเพื่อนำเข้าและจำหน่ายยาให้แก่ตัวแทนจำหน่ายและผู้ค้าส่งในท้องถิ่นอีกด้วย นอกจากนี้ข้อตกลง EVFTA ยังจะเปิดตลาดให้กับสินค้าราคาสูงแต่เป็นสินค้าใช้แล้วจากอียูให้เข้าตลาดเวียดนามได้มากขึ้นโดยไร้กำแพงภาษี เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องมือทางการแพทย์ รวมถึงเครื่องบินเก่า ซึ่งต้องมีบริการซ่อมบำรุงหลังการขายตามมาด้วย 

หน้า 12 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3485 ระหว่างวันที่ 7 - 10 กรกฎาคม 2562