ว่ากันว่าการคุยกันฉันท์มิตรภาพนั้น เราควรหลีกเลี่ยงการนำบางหัวข้อมาคุยกันในวง เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหวทางความรู้สึก เมื่อคุยกันแล้วมีโอกาสจะนำไปสู่ความขัดแย้งให้เสียบรรยากาศได้สูง และถ้ายิ่งคู่สนทนาเป็นคนไม่มีเหตุผล ไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ยึดมั่นถือมั่นในความคิดตัวเอง ปิดกั้นการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นแล้วด้วยล่ะก็ โอกาสที่ความสัมพันธ์จะขาดสะบั้นลงยิ่งเป็นไปได้มาก นั่นก็คือเรื่องของ ความเชื่อ, เชื้อชาติ, ศาสนา และการเมือง นั่นเอง
เพราะอะไรนั่นหรือครับ?
ก็เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของความเชื่อและความศรัทธายังไงล่ะครับ ความเชื่อและความศรัทธาไม่มีถูกผิด แล้วแต่ใครจะเชื่อ ใครจะศรัทธา เพราะความเชื่อความศรัทธานั้นเกิดจากวิธีคิด, ประสบการณ์, การเรียนรู้, สิ่งเร้า และสิ่งแวดล้อมของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน พ่อแม่ ลูกหลาน สามีภรรยา เพื่อนฝูง ฯลฯ เห็นต่างกันได้หมด
ความเชื่อความศรัทธาที่แตกต่างกันนั้น ถ้ายังอยู่แต่ในหัวก็คงไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ที่เห็นเดือดร้อนกันก็เพราะว่ามีการแสดงออกมา แม้จะโดยสุจริตใจก็มีโอกาสขัดแย้งได้ และถ้ายิ่งมีท่าทีการแสดงออกต้องการเอาชนะคะคาน ต้องการเหนือกว่า ต้องการเป็นฝ่ายถูก อีกฝั่งเป็นฝ่ายผิด ต้องการเหยียดหยาม หรือแม้กระทั่งต้องการความสะใจ แล้วล่ะก็ ความขัดแย้งจะบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ที่ผมเกริ่นนำเรื่องนี้มาก็เพราะว่า ในยุคนี้นั้นประเทศของเราเกิดความขัดแย้งของคนในชาติเรื่องอุดมการณ์ความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จนแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่ายแบบชัดเจนประสานกันไม่สนิท และในระยะหลังๆ มานี้มีข่าวความขัดแย้งเรื่องความคิดเห็นและการแสดงออกทางการเมืองของเหล่าบรรดาดาราศิลปินนักร้องเกิดขึ้นจนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมอยู่บ่อยๆ และความขัดแย้งนั้นบานปลายไปสู่กระแสการแบนผลงานต่างๆ ในเวลาต่อมา ซึ่งแน่นอน ผลกระทบไม่ได้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะศิลปินคนที่พูดหรือแสดงออกเท่านั้น ยังขยายวงกว้างไปสู่ทีมงานหรือบริษัทที่ร่วมงานจนได้รับผลกระทบทางธุรกิจตามกันไปด้วย
วันนี้ผมขอหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมานำเสนอความคิดเห็น ในฐานะเป็นคนหนึ่งที่ทำงานและบริหารงานบันเทิงมาเกือบๆ 30ปี เห็นเรื่องราวต่างๆ ในวงการมามากมายพอสมควร จนพอจะรู้ว่าการแสดงออกทางการเมืองของเหล่าบรรดาศิลปินนักร้องนั้นควรทำหรือไม่ควรทำ หรือควรจะแสดงความคิดเห็นอย่างไรที่จะไม่สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในสังคม อะไรคือสิทธิ อะไรคือหน้าที่ ความเหมาะสมอยู่ตรงไหน
ผมแบ่งคนที่มีอาชีพเป็นศิลปินออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.ศิลปินที่ทำงานเพื่อขายชิ้นงานศิลปะที่ตัวเองสร้างขึ้น คนซื้อซื้อที่ผลงาน ไม่จำเป็นต้องรู้จักตัวว่าเป็นใครก็ได้ เช่น พวกจิตรกรวาดภาพ ดีไซเนอร์ นักออกแบบปฎิมากรรม สถาปัตยกรรม เป็นต้น ศิลปินกลุ่มนี้สามารถแสดงออกทางการเมืองได้อย่างเต็มที่ตามสิทธิที่มี ไม่ค่อยมีผลกระทบอะไรกับการประกอบสัมมาอาชีพ เพราะคนซื้อที่ผลงาน ไม่ได้ซื้อเพราะตัวคนทำ
2.ศิลปินที่ขายความนิยมในตัวเอง ลูกค้าเป็นกลุ่มมวลชน มีรายได้จากคนหมู่มาก เช่น ดารา นักแสดง นักร้อง นางงาม นางแบบ เป็นต้น ศิลปินประเภทนี้ต้องพึ่งพาแฟนคลับ แฟนเพลง ยิ่งดังหรือยิ่งเป็นที่นิยม รายได้ยิ่งสูง แฟนคลับแฟนเพลงมักจะมองศิลปินประเภทนี้เป็น idol เป็นต้นแบบในด้านต่างๆ ตามจินตนาการของตนเอง (ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะตรงกันข้ามกับที่คิดก็เป็นไปได้)
วันนี้ผมขอเขียนถึงศิลปินประเภทหลัง (ที่ยังตั้งใจทำเป็นอาชีพอยู่) เพราะศิลปินประเภทนี้ ที่มีปัญหาล้วนแล้วแต่เป็นศิลปินดัง มีคนรู้จักและชื่นชมผลงานอยู่ทั่วประเทศ แฟนคลับบางคนชื่นชมตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กๆ จนป่านนี้แต่งงานมีลูกมีเต้าไปแล้วก็ติดตามยังชื่นชมกันอยู่
หน้าที่ของศิลปินคืออะไร ในความคิดของผมนั้น ศิลปินมีหน้าที่หลักสร้างความสุขความบันเทิงให้กับแฟนคลับ แฟนเพลง หรือคนทั้งประเทศ เขาจ่ายเงินเพื่อความสุข คงไม่มีใครจ่ายเงินเพื่อความทุกข์ ยิ่งในสถานะการณ์บ้านเมืองแบบนี้ ยิ่งต้องให้ความสำคัญในการสร้างความสุขความบันเทิงและความปรองดองมากเป็นพิเศษ หลายคนมองศิลปินที่ตัวเองรักเป็น idol เป็นต้นแบบในด้านต่างๆ
ดังนั้น ภาระหน้าที่ของศิลปินจึงไม่ใช่แค่การแสดงเพียงอย่างเดียว ศิลปินที่ดีและมีคุณภาพควรจะต้องเป็นต้นแบบที่ดีในการดำเนินชีวิตด้วย (ถ้าทำได้) และการที่ศิลปินเป็นคนสาธารณะหรือคนที่ถูกจับตามองทั้งประเทศ ทุกอย่างที่แสดงออกมาควรจะกลั่นกรองให้ดี แม้เพียงพูดเล่นในหมู่คนสนิท หรือเผลอมือลั่นแสดงความคิดเห็นส่วนตัวในทางโซเชียล ด้วยคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย คงไม่มีใครสนใจหรอก เมื่อถูกนำไปขยายผลอาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงได้ ดังที่ได้เห็นตัวอย่างไปแล้วหลายราย ดังนั้น จึงควรพยายามหลีกเลี่ยงการแสดงออกที่ส่งผลทางด้านลบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงออกฝักฝ่ายเรื่องละเอียดอ่อน เช่น การเมือง เชื้อชาติ ศาสนา และความเชื่อต่างๆ ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรตอบแบบรักษาน้ำใจของทุกฝ่าย อย่าตอบด้วยอารมณ์ ความสะใจ หรืออคติส่วนตัว ควรระลึกอยู่เสมอว่าทุกคนคือคนที่เรารัก และทุกคนคือคนที่รักเรา อย่าตอบแบบผลักให้เขาเป็นศัตรูหรือฝ่ายตรงข้าม หรือตอบเอาความสะใจ การพูดการแสดงออกแต่ละครั้งควรได้คนรักเราเพิ่ม อย่าให้ได้ศัตรูเพิ่ม หรือถ้าไม่มั่นใจให้อยู่เฉยๆ จะดีกว่า
ที่ผมกล่าวมาไม่ใช่ว่าผมแนะนำให้ศิลปินไม่มีจุดยืนนะ ผมเชื่อว่าทุกคนล้วนมีจุดยืน เพียงแต่โดยหน้าที่นั้นการแสดงออกจุดยืนของตัวเองควรแสดงออกด้วยความระมัดระวังและเหมาะสม
แต่อาจจะมีหลายคนแย้งว่า ศิลปินคือประชาชนคนหนึ่งก็ควรได้รับสิทธิ์เรื่องการแสดงออกความคิดเห็นแตกต่างทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยได้โดยอิสระเสรีเช่นเดียวกับผู้อื่นเช่นกัน ซึ่งผมก็จะไม่เถียง ถ้าหากว่าคุณไม่แคร์หรือคิดว่าอยากจะเลิกอาชีพการเป็นศิลปินแล้วก็เชิญตามสบายครับ ผมไม่มีความคิดจะไปริดรอนสิทธิ์ใคร เพราะสิทธินั้นมีด้วยกันทุกคน เพียงแต่เมื่อเอามาประกอบกับหน้าที่ในการเป็นศิลปินแล้ว เราต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมให้ดีด้วย เพราะบางครั้งสิทธิกับหน้าที่ หลักการอาจจะขัดกันก็ได้ หน้าที่การเป็นศิลปินควรทำให้คนมีความสุข สิทธิในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่มีอคติหรือเลือกข้างอย่างชัดเจน ทำให้คนเกิดความขัดแย้ง ถ้าหลักการขัดกันอย่างนี้ เราควรให้ความสำคัญกับอะไรดี
สำหรับผม... ผมให้ความสำคัญกับหน้าที่มากกว่า เพราะสิทธิคือสิ่งที่เราทำได้ ส่วนหน้าที่คือสิ่งที่เราต้องทำ และถ้ายิ่งการใช้สิทธิ์ส่งผลกระทบต่อตัวคุณ อาชีพคุณ และสังคมที่คุณอยู่ เราควรหลีกเลี่ยงหรือไปแสดงออกในที่ที่เหมาะสมจะดีกว่าไม่ใช่หรือ? การเปิดตัวออกมาว่าเราอยู่ฟากไหน นั่นหมายถึงเราพร้อมแล้วที่จะให้คนครึ่งประเทศไม่ชอบหรือเกลียดเรา
เมื่อคุณตั้งใจจะเข้ามาประกอบอาชีพศิลปินแล้ว ความเป็นศิลปินเป็นคนสาธารณะจะอยู่กับคุณตลอด 24ชั่วโมง คุณต้องยอมรับให้ได้ว่า ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ที่ไหน ตอนไหน คุณจะถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่เป็นส่วนตัว คุณต้องพร้อมรับกับเรื่องเหล่านี้ด้วย การเป็นศิลปินไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิดหรอกครับ..