KTAM เปิดขายกองทุน KT-Care ถึง 30 ก.ค.
KTAM เปิดขายไอพีโอกองทุน KT-Care วันนี้ถึง 30 ก.ค. เน้นหุ้นในประเทศสร้างผลตอบแทนควบคู่คุมความเสี่ยง
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กรุงไทย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO )กองทุนเปิดกรุงไทย เวลท์ แคร์ ฟันด์ ( KT-Care ) ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กรกฎาคม 2562 โดยเน้นลงทุนหุ้นในประเทศ ตราสารหนี้ เงินฝาก ตลอดจนสินทรัพย์อื่น ที่ ก.ล.ต. ให้ความเห็นชอบให้ลงทุนได้ ตั้งแต่ 0-100% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ซึ่งสัดส่วนการลงทุนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ตามความเหมาะสมกับสภาวะการณ์ในแต่ละขณะ เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท
กองทุน KT-Care เน้นสร้างผลตอบแทนควบคู่กับการควบคุมความเสี่ยง โดยกลยุทธ์การบริหารจะเน้นหาผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET 50 และควบคุมความเสี่ยงจากการให้น้ำหนักในการลงทุน โดยการปรับสัดส่วนการลงทุนตามโมเดล พิจารณาจากความเสี่ยงของตลาดเป็นหลัก ด้วยกลไกของกลยุทธ์การลงทุนที่จะพยายามป้องกันผลขาดทุนจากตลาดขาลงให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด ให้ไม่เกิน 20% จากจุดสูงสุดที่กองทุนเคยทำได้
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการจำลองผลการดำเนินงานย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2002- 20 มิถุนายน 2019 ผลตอบแทน YTD ของกองทุน KT- Care อยู่ที่ 5.37% 1 ปี อยู่ที่ 3.79% 3 ปี อยู่ที่ 5.38% 5 ปี อยู่ที่ 2.32% และ 10 ปี อยู่ที่ 5.97 % เมื่อเทียบกับ Benchmark YTD อยู่ที่ 3.72% 1 ปี อยู่ที่ 3.23% 3ปี อยู่ที่ 4.20% 5ปี อยู่ที่ 2.75% และ 10 ปี อยู่ที่ 5.27% โดย Benchmark ประกอบด้วย ประกอบบด้วย SET 50 ในสัดส่วน30% ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ3 เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาวงเงิน 1ล้านบาท ของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ สัดส่วน 70% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
สำหรับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 28 ธันวาคม 2561 อยู่ที่ 1,563.88 ล่าสุด ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2562 อยู่ที่ 1,735.10 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.06% โดยในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 1,820 ค่า P/E Ratio อยู่ที่ 16.5 เท่า Earning Growth 6% กองทุนนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดี และสามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นที่กองทุนไปลงทุน ซึ่งอาจปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น หรือลดลงจนต่ำกว่ามูลค่าที่ลงทุนและทำให้ขาดทุนได้ ผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป
