พาณิชย์ เดินหน้าพร้อมเจรจาเอฟทีเอกับอังกฤษ หลังได้ “บอริส จอห์นสัน”เป็นนายกฯเมืองผู้ดีคนใหม่ แนะนักลงทุนไทยเตรียมวางแผนการผลิตและลงทุนในอนาคต พร้อมถกต่อเอฟทีเอไทย-อียู
จากที่ประเทศอังกฤษได้นายบอริส จอห์นสันเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทนนางเทเลซา เมย์ ที่ลาออก ขณะที่อังกฤษหรือสหราชอาณาจักรเป็น 1 ในประเทศเป้าหมายที่ไทยจะเปิดเจรจาการค้าเสรี(เอฟทีเอ) หลังถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป(อียู) หรือเบร็กซิทนั้น
อรมน ทรัพย์ทวีธรรม
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า อังกฤษเป็นคู่ค้าที่สำคัญอันดับที่ 20 ของไทย และอันดับที่ 2 ของไทยในภูมิภาคยุโรป (รองจากเยอรมนี) โดยมูลค่าการค้าไทย-อังกฤษในปี 2561 อยู่ที่ 7,044 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไทยส่งออก 4,062 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และนำเข้า 2,981 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า ดังนั้นกรมจึงได้เตรียมการศึกษา และหารือกับอังกฤษอย่างต่อเนื่อง ถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการทำเอฟทีเอร่วมกันในอนาคต
ขณะเดียวกันกรมได้มีการศึกษาติดตามพัฒนาการนโยบายและมาตรการทางการค้าของอียู นับตั้งแต่การเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ได้หยุดชะงักไปในปี 2557 ตลอดจนศึกษาความตกลงเอฟทีเอที่อียูทำกับประเทศต่างๆ ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เพื่อประเมินความคาดหวังของอียูจากการทำเอฟทีเอ และความคาดหวังของไทย โดยกรมมีแผนจะหารือภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของไทย ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม เพื่อเตรียมการฝ่ายไทยในเรื่องนี้อย่างรอบคอบและรอบด้าน ขณะเดียวกันก็คงต้องประสานกับฝ่ายอียูเพื่อหารือกระบวนการ และช่วงเวลาที่ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาด้วย เพราะอียูก็อยู่ระหว่างปรับเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูงหลังได้รัฐสภาใหม่เช่นกัน
สำหรับนักธุรกิจไทยที่ไปลงทุนในอังกฤษและเคยได้ประโยชน์จากการเป็นตลาดเดียวของอียู คงต้องคอยติดตามสถานการณ์และวางแผนการผลิตและการลงทุนในอนาคตเช่นกันว่าการทำเบร็กซิทของอังกฤษ ทั้งแบบที่สามารถบรรลุข้อตกลงได้และไม่มีข้อตกลงซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงื่อนไขการนำเข้าวัตถุดิบ การกระจายสินค้า และสภาพแวดล้อมการลงทุนหรือไม่ อย่างไร เพื่อที่จะสามารถปรับตัวรองรับผลที่จะเกิดขึ้นได้ทัน
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,493 วันที่ 4-7 สิงหาคม 2562