พาณิชย์ เตรียมเปิดเวทีระดมไอเดีย ฟื้นเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู

06 ส.ค. 2562 | 08:44 น.

พาณิชย์ เตรียมหารือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน เกษตร และภาคประชาชน รับฟังความเห็นฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู หลังหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2557 เริ่มนัดแรกวันที่ 14 สิงหาคมนี้ พร้อมให้ IFD ศึกษาประโยชน์ ผลกระทบ และสำรวจความเห็นเพื่อประกอบการตัดสินใจ

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า หลังจากรับนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้เร่งขยายความร่วมมือทางการค้ากับกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป(อียู) กรมฯ จึงได้เตรียมจัดประชุมหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน เกษตรกร และภาคประชาชน เพื่อรับฟังความเห็นต่อการฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-อียู ในเรื่องต่าง ๆ เช่น ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเจรจา ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การเตรียมความพร้อมรับมือหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ เป็นต้น โดยเบื้องต้นเตรียมจัดทั้งหมด 4 ครั้ง ช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2562 ซึ่งจะจัดหารือตามกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งกลุ่มภาคเอกชน สมาคมธุรกิจและผู้ประกอบการ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้บริโภคและองค์กรภาคประชาชน และกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น โดยกรมฯ กำหนดจัดรับฟังความเห็นครั้งแรกกับกลุ่มภาคเอกชน ในวันที่ 14 สิงหาคม 2562 ณ กระทรวงพาณิชย์

นอกจากการจัดหารือรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียแล้ว กรมฯ ยังได้มอบหมายให้สถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (IFD) ศึกษาประโยชน์และผลกระทบการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ตลอดจนสำรวจความเห็นจากประชากรกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ โดยกำหนดแล้วเสร็จในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งกรมฯ จะรวบรวมผลการศึกษา การจัดรับฟังความเห็น และการตอบแบบสำรวจของประชากรกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ นำเสนอรัฐบาลเพื่อประกอบการตัดสินใจเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู และกำหนดท่าทีการเจรจาอย่างรอบคอบต่อไป

ในปี 2561 การค้าไทย-อียู มีมูลค่า 47,322 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น9.4 % ของการค้าไทยกับโลก ขยายตัว 6.5%  จากปี 2560 โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปอียูมูลค่า 25,041 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 5.1%  และไทยนำเข้าจากอียูมูลค่า 22,281 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 8%  เพิ่มขึ้นจากปี 2560  สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 (มกราคม-มิถุนายน) มูลค่าการค้ารวมไทย-อียู มีมูลค่า 21,908 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการส่งออกจากไทยไปสหภาพยุโรปมูลค่า 12,060 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และนำเข้าจากสหภาพยุโรปมูลค่า 9,817 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอียู เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และไก่แปรรูป เป็นต้น และสินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากอียู เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เป็นต้น สำหรับการลงทุนไทยในอียูมีแนวโน้มสูงขึ้นในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2561 คิดเป็นมูลค่า 11,339 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่าการลงทุนจากอียูเข้ามาไทย ซึ่งมีมูลค่า 7,065 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ