ถอดรหัสคีเวิร์ด"ประยุทธ์"ขอโทษครม.ถอดใจจริงหรือ?

เป็นที่ลือและฮือฮาเกือบ 1วันเต็มกับกระแสข่าว “บิ๊กตู่ถอดใจ จ่อไขก๊อก” หลังการกล่าว “ขอโทษครม.” ถึง 3 ครั้งของ บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลางเวทีชี้แจงนโยบายรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา งานใหญ่ของรัฐบาลระดับ 800 คนที่มาฟังเป็นครม. ข้าราชการการเมือง หัวหน้าส่วนราชการทุกกระทรวง ทบวงกรม  รัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ผู้นำภาคธุรกิจเอกชน ฯ

 43 นาที คือ เวลาทั้งหมดที่ทีมข่าว “ฐานเศรษฐกิจ” จับเวลาได้ในระหว่างที่พล.อ.ประยุทธ์ยืนพูดบนโพเดี้ยม น้ำเสียงอู้อี้จนเจ้าตัวต้องออกตัวในช่วงต้นหลังพูดไปเพียง 1.30 นาทีว่า “วันนี้ต้อง ขอโทษ ด้วย ร่างกายไม่ค่อยเต็มร้อย เป็นไข้หวัดอยู่ แต่ใจเกินร้อย ไม่ต้องห่วง ทุกคนก็ใจเกินร้อยไปกับผมด้วยทุกคน รัฐมนตรีทุกท่าน”

 ซึ่งอาการป่วยนี้ ทีมงานของพล.อ.ประยุทธ์บอกว่าป่วยมากว่า 1 สัปดาห์แล้ว วันประชุมครม.เมื่อ 6 สิงหาคมก็นั่งหัวโต๊ะประชุมทั้งที่ป่วย ไม่วายต้องลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้วันที่ 7 สิงหา ก็ยังป่วยต่อเนื่องมาจนถึงวันที่แถลงชี้แจงนโยบาย เพราะแม้กินยาแล้วแต่ก็ยังพักผ่อนไม่เพียงพอ

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ก็เล่าถึงการลงพื้นที่ชายแดนภาคใต้ว่า ไปพบเจออะไรมาบ้าง แล้วก็ขมวดกลับมาที่นโยบายว่า อยากให้ทุกหน่วยงานนำนโยบายที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภานำไปสู่การปฏิบัติ

“ต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ แผนปฏิรูป แผนแม่บท รัฐธรรมนูญ กฎหมายลูก วินัยการเงินการคลัง วิธีระเบียบการจัดทำงบประมาณประจำปี กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รวมทั้งระบบการตรวจสอบอื่นๆด้วยนะครับ ซึ่งหลายอย่างอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง โดยเฉพาะในเรื่องของการตรวจสอบ การใช้จ่ายงบประมาณ อันนี้ก็ต้องฝากในเรื่องการประสานงานว่าเราจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เพราะมันยังติดขัดกับกฎหมายเดิมๆ เพราะมีหลายอย่างวิธีการเปลี่ยนแปลงไปนะครับ ก็ฝากไปถึงบรรดาสตง. (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน) ว่าต้องปรับให้ทันกัน พร้อมๆกันอันนี้ก็เป็นสิ่งที่ฝ่ายกฎหมายพยายามดำเนินการอยู่แล้วเพื่อให้เกิดความสอดคล้องต้องกัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงประเทศต้องเปลี่ยนแปลงหลายอย่างด้วยกัน ทั้งกฎกติกามารยาทต่างๆ ไม่งั้นมันไปด้วยกันไม่ได้ ต้องมีความทันสมัยไปด้วยกัน”

หลังจากจบประโยคนี้ เข้าสู่นาทีที่ 5 พล.อ.ประยุทธ์ก็กล่าวต่อทันทีว่า “เรื่องแรกที่เป็นประเด็นสำคัญ ผมขอเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เรื่องรัฐธรรมนูญเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ผมเป็นห่วงกังวลอย่างเดียวว่าทำยังไงจะทำงานได้ ก็ขอให้ทุกคนทำงานต่อไปนะครับ ยังไงก็ตามก็ต้องศึกษาในรัฐธรรมนูญดูว่าเขียนว่าอย่างไร เพราะฉะนั้น ยังไงก็ตามก็ยังคงมีรัฐบาลอยู่ ไม่ว่ายังไงก็ตามก็ ขอโทษ บรรดารัฐมนตรีด้วยนะครับ เพราะผมถือว่าผมได้นำของผมเต็มที่แล้ว”

“ประเด็นเร่งด่วนที่เราพูดกัน คือ เรื่องของรัฐธรรมนูญ มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายมาแล้วหลายฉบับ หลายฉบับก็มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบันในเวลานั้น หรือสอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้น หรือป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาใหม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นมีจุดมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับอยู่แล้ว แต่ข้อสำคัญคือทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างเป็นสากล เราต้องมาดูว่า คำว่า สากลของเรากับคำว่าสากลของเขา มันไม่ต่างกันหรอก มันต่างกันที่ผู้ปฏิบัติผู้ใช้ หรือคนในประเทศที่ยังมีพื้นฐานที่แตกต่างกันอยู่มากพอสมควร หลายอย่างหลายประเทศเราก็อยากเป็นอย่างเขา แต่อย่าลืมว่า เขาก็มีการพัฒนามาหลายร้อยปีหลายพันปี มีปัญหามากกว่าเราด้วยซ้ำไป ฉะนั้น มันก็มีความแตกต่างนะครับ”

“ส่วนใหญ่แล้วเรามักมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับกฎหมาย อะไรมากมาย ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่ความผิดหรอกผมว่า ความผิดมันอยู่ที่ผู้ปฏิบัติในการนำสิ่งเหล่านั้นมาปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างไรนะครับ เราจะต้องไม่ใช้ในทางที่ผิดนะครับ ใช้ในทางเอื้อประโยชน์ นำไปสู่การทุจริตประพฤติมีชอบ หรือทำให้เกิดความขัดแย้ง ความไม่สงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพราะฉะนั้น เราก็คงจะต้องดูในเรื่องนี้กันต่อไปนะครับ และที่สำคัญที่สุดรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลักของประเทศ ก็ต้องมีกฎหมายลูก พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องต่างๆในเชิงบังคับ ในกรอบกฎหมายใหญ่ที่เขียนเอาไว้นะครับว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ในส่วนของการปฏิบัติแล้วมันจะมีกฎหมายที่สอดคล้องว่าจะต้องนำไปสู่การปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติจะเกิดอะไรขึ้นอะไรยังไงเขาก็มีอยู่แล้วในแต่ละมาตรา ลองไปดูอีกทีก็แล้วกัน”

พูดจนถึงนาทีที่ 7.40 พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวต่อว่า “เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ต้องสอดคล้องต้องกัน ถ้าเรามองอะไรอย่างหนึ่งอย่างเดียวจะทำให้เราทำงานกันไม่ได้ทั้งหมด ถ้าเราไม่มองแบบองค์รวม ไม่ว่าจะปัญหาหรือการแก้ปัญหาต่างๆนั้นเราจะต้องมีวัตถุประสงค์มีเป้าหมายเดียวกัน มีวิธีการที่จะสอดประสานกัน เดินหน้าไปด้วยกันทั้งแผนคน แผนเงิน แผนงานโครงการ นี่เขาเรียกว่าการบูรณาการอย่างแท้จริง ในลักษณะที่ร่วมมือกันทั้งรัฐทั้งประชาชน เอกชน ธุรกิจ ประชาสังคม ทุกคนถ้ามีจุดมุ่งหมายเดียวกันเพื่อประเทศชาติประชาชนคนไทยมันทำได้หมดทุกอย่างนะครับ เพราะฉะนั้น วันนี้เราก็อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ช่วงการปฏิรูปประเทศในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้แล้ว มีกฎหมายทุกตัวที่สามารถดำเนินการได้นะครับ อันนี้ก็ต้องสอบถามประชาชนด้วยว่าเขาได้ประโยชน์อะไรจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญตรงไหนอะไรยังไง ผมไม่ได้ขัดข้อง ประชาชนยอมรับก็มีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น”

จากนั้นนาทีที่ 8.45 เป็นต้นไป นายกฯย้ำทุกหน่วยงานถึงการสร้างการรับรู้การมีส่วนร่วมของประชาชนให้มากขึ้นเพื่อไม่ให้มีปัญหากับข้าราชการ จนถึงนาทีที่ 10 พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า “ในอดีตที่ผ่านมาทุกท่านทราบดีอยู่แล้วว่าเรามีปัญหามากมาย วันนี้เรามีกระบวนการประชาธิปไตยไปแล้วเรียบร้อย ฉะนั้นเรื่องเก่าๆอะไรก็อยากจะขอร้องว่าอะไรที่ไม่ควรพูด อะไรที่พูดได้ก็พูดไป ผมเองนั้นเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมดอยู่แล้วนะครับ วันนี้เราได้คนดีดีเข้ามาทำงาน ก็ให้ท่านพิสูจน์ฝีมือ ก็ต้องให้เกียรติกันและกัน ผมอยากจะบอกว่าผมมีความสุขในการทำงานกับคณะรัฐมนตรีทั้งหมดที่ผ่านมาไม่นานนักนี้ ไม่ว่าจะในการประชุมครม. การไปเยี่ยมเยียนประชาชน ผมเห็นแววตาของทุกท่านผมมีความเข้าใจในการที่การที่จะทำงานร่วมกับผมอย่างแท้จริงนะครับ”

“ก็ฝากไปด้วยไปถึงพรรคร่วมรัฐบาล พรรคฝ่ายค้านเราต้องคำนึงถึงประเทศชาติ ประชาชนเป็นหลักสำคัญนะครับ เรื่องอื่นก็เป็นเรื่องของทางการเมืองไป”

จบประโยคนี้ เข้าสู่นาทีที่ 11.10 เป็นต้นไปจนถึงนาที่ที่ 40.20  นายกฯใช้เวลาประมาณ 29 นาที พูดถึงนโยบายในด้านต่างๆของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนกับทุกภาคส่วนทั้งเรื่องรายได้ สวัสดิการ ที่ดินทำกิน การบริหารจัดการน้ำ การกักเก็บน้ำ ด้านการเกษตร การบุกรุกพื้นที่ป่า ระบบภาษี มาตรการการเงินการคลัง การขายออนไลน์ เศรษฐกิจระดับมหภาค เศรษฐกิจจุลภาค บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การลงทุน การรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การชลประทาน การปลูกไม้มีค่า โครงสร้างพื้นฐาน การสาธารณสุข การท่องเที่ยวและบริการ เทคโนโลยีดิจิทัล การใช้จ่ายงบประมาณ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การสร้างนักวิจัย-นักพัฒนา

นาทีที่ 40.20 พล.อ.ประยุทธ์ พูดต่อว่า “ผมไม่ถือว่าวันนี้เป็นวันที่ผมจะต้องมากล่าวซ้ำเรื่องนโยบายอีกที ผมถือว่าวันนี้เป็นเวทีที่ถือโอกาสได้พบปะครม.ของผม ครม.ของพวกเรา ครม.ของคนไทยที่เลือกกันเข้ามา แล้วข้าราชการทุกคนที่ได้รับการแต่งตั้งมาจนถึงวันนี้ ผมเชื่อมั่นว่าคนทุกคนในห้องนี้และคนที่ไม่ได้อยู่ คนที่อยู่ทางบ้านก็คาดหวังว่าประเทศไทยจะเดินหน้าไปได้อย่างไรด้วยความสงบเรียบร้อย เรื่องใดก็ตามที่บกพร่องผมก็ต้อง ขอโทษ แล้วก็รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวนะครับ แต่อย่างไรก็ตามประเทศต้องเดินหน้าไปให้ได้ รัฐบาลก็ต้องทำงานให้ได้ เป็นสิ่งที่ผมเชื่อมั่นตั้งใจไว้ ผมคงไม่ตอบคำถามเรื่องนี้อีกแล้วนะครับ

จนถึงช่วงท้ายนาทีที่ 41.10 นายกฯถามผู้ที่อยู่ในห้องว่า “มีใครสงสัยอะไรไหม ถามผมเป็นการส่วนตัวได้ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่แถลงนโยบายผมก็พยายามยิ้มแย้มแจ่มใส บางครั้งมันก็เครียดนะ ตลอดเวลาเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาผมจะยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น เสียงเสิงก็ไม่ค่อยจะดุดันแล้วหละ หลังจากวันในสภามาแล้วผมก็เจ็บคอแล้ววันนั้น ฉะนั้นวันนี้ก้ยิ้มแย้มแจ่มใจ คนก็สงสัยว่า เอ๊ะ เป็นอะไรหรอ ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ ผมมีความสุขที่ได้บรรดาเพื่อนๆของผมเข้ามาทำงานกับผม เพื่อนๆที่พี่น้องเลือกกันเข้ามา ซึ่งก็ต้องมาดูแลข้าราชารกันต่อไปในอนาคตด้วย เพราะฉะนั้นข้าราชการก็ต้องให้ความร่วมมือ ระมัดระวังในการทำงาน ทำงานให้มีประสิทธิภาพ ทุกอย่างเราต้องดูแลซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ผมก็ถือโอกาสนี้กล่าวกับท่านเพียงเท่านี้ หวังว่าทุกคนคงเข้าใจในเจตนารมณ์ของผม”

“ผมไม่ใช่คนเก่งคนเดียว ไม่ใช่ แต่ผมจะเป็นผู้นำพาทุกคนทำงานร่วมกันให้ได้ เป็นการบูรณาการ ไม่มีใครหรอกครับทำงานสำเร็จได้แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีวีรบุรุษ วีรบุรุษส่วนใหญ่มีเหมือนกันแต่ตายไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นกล้าคนเดียวไม่ได้ มันต้องไปด้วยกันทั้งหมด”