เพิ่งแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาไปเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม กำลังจะเริ่มจัดแถวรัฐมนตรีเพื่อเข้าบริหารประเทศ แต่เวลานี้สารพัดเรื่องพุ่งเข้าใส่รัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ที่กลายเป็นตำบลกระสุนตกของฝ่ายค้าน
แนวรบนอกสภา รัฐบาลเจอปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังระสํ่า ระสายทั้งภายในและภายนอก ซํ้าด้วยภาวะฝนทิ้งช่วงก่อนหน้า พืชผลได้ตํ่ากว่าเป้าซํ้าเติมภาวะราคาที่ตกตํ่าลงไปอีก ขณะที่การดูแลความสงบเรียบร้อยก็ถูกท้าทายด้วยปมระเบิดป่วนเมือง ที่เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลโดยตรง
ที่ร้อนแรงกว่าคือแนวรบในสภา สำหรับรัฐบาล “บิ๊กตู่ 2/1” ที่ไม่มีแม้ห่วงเวลาดื่มนํ้าผึ้งพระจันทร์ ฝ่ายค้านประกาศจองกฐินเล่นงานรัฐบาลต่อทันที ไล่เลียงกันมาตั้งแต่
ดาบแรกเป็นจนท.รัฐหรือไม่
พรรคฝ่ายค้านยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ปมลักษณะต้องห้ามการดำรงตำแหน่งนายกฯ โดยชี้ว่าการเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น ถือเป็น “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามของการดำรงตำแหน่งนายกฯ
คำร้องนี้ศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณา และให้นายกรัฐมนตรีส่งคำชี้แจงคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน หรือวันที่ 8 สิงหาคมนี้ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไป
หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจ ฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีลักษณะต้องห้าม ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ จะมีผลให้ครม.“ประยุทธ์ 2/1” ต้องพ้นไปทั้งคณะ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมีการโหวตเลือกนายกฯใหม่
คว่ำก.ม.งบฯคว่ำรัฐบาล
การแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาที่ผ่านมา แม้ไม่มีการอภิปรายโดยไม่ลงมติ แต่ก็ตอบโต้กันดุเดือด สะท้อนภาวะความเป็นอริระหว่างฝ่ายค้าน-รัฐบาล ฝังรากลึก แม้รัฐบาลจะชนะขาดเนื่องจากมีเสียงสมาชิกวุฒิสภาร่วมยกมือหนุน แต่งานในสภา ผู้แทนราษฎรจากนี้ไปจะเป็น ความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะรัฐบาลเสียงปริ่มนํ้า มีจำนวนส.ส. มากกว่าฝ่ายค้านเพียงไม่กี่เสียง ขณะที่มีส.ส.รัฐบาลหลายคนไปนั่งเป็นรัฐมนตรีควบคู่กันไปด้วย มีโอกาสที่เกมในสภาจะเกิดรูโหว่
พรรคฝ่ายค้านทั้งเพื่อไทยและอนาคตใหม่ประกาศแล้วว่า จะตรวจสอบรัฐบาลผ่านการพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย 2563 ที่รัฐบาลต้องรีบเสนอให้สภาพิจารณาเห็นชอบ ซึ่งเร็วที่สุดอาจเริ่มใช้งบปี 2563 ได้ในเดือน มกราคม 2563 ที่รัฐบาลต้องเร่งส่งให้สภาพิจารณาโดยเร็วในครึ่งหลังปีนี้
ร่างพ.ร.บ.งบปี 2563 จึง เป็นเป้าสำคัญหนึ่งของฝ่ายค้าน ที่สามารถหยิบยกแต่ละแผนงานที่รัฐบาลเสนอขอใช้งบประมาณ มาอภิปรายถึงการทำงานของรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ไปจนถึงภาพรวมของรัฐบาลได้อย่างกว้างขวาง ชนิดเรียกได้ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจย่อมๆ
เกมนี้เขย่าขวัญรัฐบาลเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อพรรคเล็กร่วมรัฐบาล นำโดย นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ออกมาประกาศ จะนำ 4 พรรคเล็กออกไปเป็นฝ่ายค้านอิสระ และขู่จะโหวตควํ่าร่างพ.ร.บ.งบฯ ทำให้รัฐบาลที่มีเสียงปริ่มนํ้าอยู่แล้วยิ่งอันตรายขึ้น ไปใหญ่
หากฝ่ายค้านสามารถโหวตควํ่าร่างพ.ร.บ.งบฯได้ เป็นเหตุให้รัฐบาลไม่มีเงินไปขับเคลื่อน แผนงานของกระทรวงต่างๆ ได้ จะสร้างแรงกดดันทางการเมือง ให้รัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก
“ถวายสัตย์”บีบใจประยุทธ์
ปมร้อนที่มาแรงแซงอยู่แถวหน้า กับเป็นกรณีคณะรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบตามรัฐธรรมนูญ ที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เปิดประเด็นขอหารือกลางที่ประชุมรัฐสภาวันแถลงนโยบายรัฐบาล
เรื่องนี้ช่วงแรก พล.อ. ประยุทธ์ พยายามตัดบท ยืนยันดำเนินการถูกต้องครบถ้วนแล้ว แต่เมื่อฝ่ายค้านเกาะติด ประกาศจะดำเนินการทั้งตั้งกระทู้ถามด่วนกลางสภา เตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนถึงส่งเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทำให้กระแสสังคมยิ่งขยายวง
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ รับว่ากำลังหาทางแก้ไขอยู่ และขอให้ดูที่เจตนา แต่การเมืองกระเพื่อมสุดเมื่อเอ่ยปากขอโทษรัฐมนตรีร่วมครม. และว่าขอรับผิดชอบเองคนเดียว กระแสนายกฯถอดใจลาออกแพร่สะพัด กระทั่งโฆษกรัฐบาลต้องออกมาปฎิเสธกระแสข่าวดังกล่าว
ปัญหานี้ไม่ว่าจะออกทางไหนรัฐบาลมีแต่เจ็บตัว ไม่ว่าจะเป็นขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว นำครม.เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณใหม่ จะถูกโจมตีว่ารัฐบาลบกพร่อง รบกวนเบื้องพระยุคลบาท แล้วยังมีปัญหาว่าต้องแถลงนโยบาย และออกมติครม. ข้อสั่งการต่างๆ ใหม่ด้วยหรือไม่
ถ้ารอให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดแล้วปฏิบัติไปตามนั้น ซึ่งไม่รู้ว่าจะใช้เวลาอีกเท่าใด ทำให้เกิดภาวะ “ตกหลุมอากาศ”การใช้อำนาจบริหาร ไม่แน่ใจว่าการปฏิบัติงานของรัฐบาลระหว่างนี้สามารถทำได้หรือไม่ กระทบถึงการแก้ปัญหาเร่งด่วนของชาติ
ส่วนถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกแสดงความรับผิดชอบ เซตซีโร่การจัดตั้งรัฐบาลไปเริ่มต้นกันใหม่ในภาวะเสียง 2 ขั้วยันกันอยู่เช่นนี้ การจัดตั้งรัฐบาลมีโอกาสยืดเยื้อและอาจพลิกขั้ว
4 เหตุ “ล้ม” รัฐบาล
มรสุมการเมืองเวลานี้รุมเร้าที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นหลัก ทั้งนี้ เมื่อไปพลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ในมาตรา 167 บัญญัติถึงการที่คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งไปทั้งคณะ มีได้ 4 ประการ คือ
1. ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯสิ้นสุดลง เมื่อไม่มีนายกฯ ก็เป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรีที่เหลือสิ้นสภาพตามกันไปทั้งหมดด้วย
เมื่อตามไปดูกันต่อถึงความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯสิ้นสุดลงเมื่อใดนั้น พบว่ามาจาก 6 กรณี คือ 1) ตาย 2) ลาออก 3) สภาผู้แทนฯลงมติไม่ไว้วางใจ 4) นายกฯขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามต่างๆ 5) มีผลประโยชน์ทับซ้อน เช่นยังคงถือหุ้นในกิจการสัมปทานผูกขาดของรัฐถือหุ้นในกิจการโดยมิได้โอนให้บลายด์ทรัสต์ดูแล และ 6) เป็นนายกฯมาแล้วครบ 8 ปี ไม่ สามารถเป็นต่อได้อีก
2. สภาผู้แทนฯครบวาระหรือยุบสภา
3. ครม.ลาออกทั้งคณะ และ
4. คณะรัฐมนตรีกระทำผิดเข้าไปมีส่วนใช้งบไม่ว่าทางตรงหรืออ้อม
ฝ่ายค้านกางข้อกฎหมายเฝ้าติดตาม “บิ๊กตู่” และคณะรัฐมนตรีชนิดไม่ให้คลาดสายตา ทำพลาดท่าเข้าเกณฑ์ข้อห้ามใดเป็นต้องถูกเช็กบิลทันที
ท้าทายคำกล่าว “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ ลั่นปาก “รัฐบาลนี้จะอยู่ครบวาระ 4 ปี” ที่รอการพิสูจน์
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3496 วันที่ 15-17 สิงหาคม 2562