บ.บี-พลัสฯวางกลยุทธ์ขยายตลาดออกนอกประเทศผ่านโครงการความร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พร้อมทำตลาดในประเทศทั้งรูปแบบออนไลน์ และออฟไลนควบคู่ ชี้ยอดขายปีนี้แตะ 20 ล้านบาท ยันตลาดเครื่องสำอางยังโตได้อีกมาก
นายอังกูร บุณยะโอภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี-พลัส เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายแป้งพัฟแบรนด์ “eve” (อีฟ) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กลยุทธ์การทำตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้าของแบรนด์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะเป็นการมุ่งเน้นไปที่ตลาดการส่งออก โดยแบรนด์ผ่านการคัดเลือกเป็น 1 ใน 18 ธุรกิจที่ได้เข้าร่วมโครงการ “สร้าง SME ไทยสู่เวทีการค้าสากล (ต้นกล้า ทูโกล) ประจำปี 2562 ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA)
ทั้งนี้ การเข้าร่วมโครงการดังกล่าวจะทำให้แบรนด์มีโอกาสได้ออกงานแสดงสินค้าของกรม ซึ่งจะจัดขึ้นประมาณช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้พบกับซัพพลายเออร์จากต่างประเทศ โดยจะเสมือนเป็นการกำหนดทิศทางให้กับแบรนด์ในตลาดการส่งออกด้วยว่าจะดำเนินการไปยังภูมิภาคใด หรือประเทศใดจากผลตอบรับที่ได้ในการพบกับซัพพลายเออร์โดยตรง
อย่างไรก็ดี ในส่วนของการทำตลาดในประเทศนั้น แบรนด์ จะยังคงมุ่งเน้นการทำตลาดทางด้านออนไลน์ควบคู่ไปกับตลาดออฟไลน์ โดยจะดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดผ่านทางเว็บไซต์ และเพจเฟซบุ๊ก นอจากนี้ก็จะมีการจำหน่ายผ่านห้างโมเดิร์นเทรด เช่น ท็อปมาร์เก็ตทั้ง 38 สาขา ร้านบิวเทรี่ยม (BEAUTRIUM) ที่หน้าร้านทั้ง 10 สาขา รวมถึงบนช่องทางออนไลน์ของร้าน และที่บิวตี้คูลดอทคอม (Beauticool.com) นอกจากนี้ก็ยังอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา (R&D) ใหม่ เพื่อนำเสนอออกสู่ตลาดในการเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค และขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขวางมากขึ้น
นายอังกูร กล่าวต่อไปอีกว่า แบรนด์ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นอายไลเนอร์ (Eye Liner) ซึ่งนำเข้ามาจากประเทศเกาหลี เพื่อนำเข้ามาทำเป็นแบรนด์อีกจำหน่ายอยู่บนช่องทางเดียวกับแป้งพัฟด้วย โดยมองว่าตลาดเครื่องสำอางยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อีกในระยะยาว เนื่องจากผู้บริโภคในตลาดยังมีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่สร้างความมั่นใจให้กับตนเอง และความรักสวยรักงาม ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ตลาดเติบโตได้อีก
“จากกลยุทธ์ในการทำตลาดดังกล่าวเชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ประมาณ 14 ล้านบาท เฉพาะในส่วนของแป้งพัฟ โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เป็นกลุ่มสาวทำงาน และปัจจุบันยังได้ขยายกลุ่มเพศทางเลือกด้วย (LGBT) แต่หากรวมอายไลเนอร์ด้วยคาดว่ายอดรายได้จะอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มลูกค้าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนี้จะมีอายุประมาณ 20-30 ปี”
สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์แป้งพัฟนั้น อยู่ที่การเป็นเจ้าแรกของประเทศไทยที่มีนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีในการป้องกันแสงสีฟ้า (Anti Blue-light) เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่จะต้องอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือ และเครื่องคอม พิวเตอร์แทบจะตลอดเวลา พร้อมกันนี้ยังมีคุณสมบัติในการควบคุมความมัน และสีที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผิวขาวอมชมพู, ขาวเหลือง และผิว 2 สี หรือผิวสีแทนก็สามารถใช้งานได้ ขณะที่ตัวแพ็กเกจก็ถูกออกแบบมาให้ดูเรียบหรู
“ปัจจุบันมีคู่แข่งที่เข้ามาร่วมชิงส่วนแบ่งทางการตลาด
อยู่มาก เพราะฉะนั้นแบรนด์จึงต้องมีกลยุทธ์ในการสร้างสาวกให้กับแบรนด์ โดยการทำตลาดผ่านทางเฟซบุ๊ก การทำกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) เช่นโครงการรับบริจาคเครื่องสำอางแต่งหน้าศพ #สวยหล่อบอกต่อบุญ เป็นต้น เพื่อให้ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เกิดความภาคภูมิใจและมีความจกรักภักดีต่อแบรนด์”
หน้า 8 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3496 วันที่ 15-17 สิงหาคม 2562