เผชิญหน้าเจรจากันไปเมื่อวันก่อน สำหรับอดีตพนักงานช่อง3 รวมถึงตัวแทนบริษัทที่รับผลิตข่าว ที่ถูกเลิกจ้างและต้องการเรียกร้องขอความเป็นธรรม โดยมีกสทช.และคณะอนุกรรมการเยียวยาฯ เป็นผู้ไกล่เกลี่ย
ก่อนหน้านี้คงจำกันได้ หลังจากที่มี 7 ช่องทีวีดิจิทัลยื่นขอคืนใบอนุญาตสัมปทานนั้น “นายกตู่” ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ผู้ประกอบการต้องเสนอแผนให้กสทช. ว่าหากเลิกจ้างแล้วจะเยียวยาอย่างไร เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ส่วนพนักงานที่ไม่มีสัญญาจ้างหรือฟรีแลนซ์ก็ให้กสทช. เป็นผู้ดูแลเช่นกัน เพื่อไม่ให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่พนักงานที่กลายเป็นผู้ตกงาน
คู่แรกที่เป็นความกัน คือ “อดีตพนักงาน-ช่อง 3”
ผลการชี้แจงอยู่กับกสทช.และคณะอนุกรรมการเยียวยาฯแล้ว แต่ผลสรุปจะเป็นอย่างไรยังต้องรอต่อไป
เมื่อฝ่ายหนึ่งบอกว่า การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ไม่มีการหารือร่วมกับพนักงาน ไม่รับฟังความเดือดร้อน ไม่หาแนวทางแก้ไขอื่น
ขณะที่อีกฝ่าย ยืนยันว่าต้องแบกรับภาระขาดทุนต่อเนื่องจากทั้ง 2 ช่อง พร้อมแจ้งให้พนักงานรับทราบ รวมทั้งมีเกณฑ์ในการเลิกจ้าง ไม่ใช่จิ้ม หรือมีธงว่าจะเลือก ใครอยู่ ใครไป
การร่อนสารของ “กรรมการผู้อำนวยการ” อริยะ พนมยงค์ ที่จะยุติออกอากาศช่อง 13 และ 28 ในสิ้นเดือนกันยายน พร้อมกับการเลิกจ้างพนักงานในวันที่ 31 กรกฏาคม 2562 โดยให้สาเหตุว่า เมื่อจำนวนช่องน้อยลง ก็จำเป็นใช้บุคลากรหรือพนักงานน้อยลง พร้อมกับเรียกพนักงานเข้าพบกับคณะกรรมการที่ทำหน้าที่พิจารณาการเลิกจ้างเป็นรายบุคคล ตามกระบวนการ และขั้นตอนต่างๆ ที่สุดท้ายแล้วพนักงานที่ถูกเลิกจ้างจะต้องรับเงินชดเชยตาม “แพ็คเกจ” ที่เสนอไว้ นั่นคือ
พนักงานอายุงาน 1 ปี ได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 2 เดือน ได้รับเงินชดเชยพิเศษ 1 เดือน รวม 3 เดือน
พนักงานอายุงาน 3 – 6 ปี ได้รับเงินชดเชย 7 เดือน เงินชดเชยพิเศษอีก 3 เดือน รวม 10 เดือน
พนักงานอายุ 6-10 ปี ได้รับเงินชดเชย 9 เดือน เงินชดเชยพิเศษอีก 4.5 เดือน รวมเป็น 13.5 เดือน
พนักงานอายุงาน 10-20 ปี ได้รับเงินชดเชย 11 เดือน เงินชดเชยพิเศษอีก 6 เดือน รวมเป็น 17 เดือน
พนักงานอายุงาน 20 ปีขึ้นไป ได้รับเงินชดเชย 14.33 เดือน เงินชดเชยพิเศษอีก 6.5 เดือน รวม 20.83 เดือน
และพนักงานที่อายุงาน 8 ปีขึ้นไป จะได้เงินสะสมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและเงินประกันสังคมด้วย
ช่อง 3 SD หรือช่อง 28 ซึ่งมีกำหนดออกอากาศในวันสุดท้ายคือวันที่ 30 กันยายน 2562 จะได้รับเงินชดเชย 903 ล้านบาท เมื่อหักยอดค้างชำระงวด 4 และภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว จะเหลือเงินค่าชดเชย 680 ล้านบาท ส่วนช่อง 3 Family หรือช่อง 13 ออกอากาศในวันสุดท้าย 30 กันยายนเช่นกัน จะได้รับเงินชดเชย 226 ล้านบาท เมื่อหักยอดค้างก็จะเหลือ 162 ล้านบาท รวมเบ็ดเสร็จ 2 ช่อง จะได้รับเงินชดเชย 842 ล้านบาท
แต่แน่นอนว่า ตัวเลขนี้ไม่ใช่จำนวนเงินที่จะนำไปจ่ายชดเชยให้กับพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง ทั้งหมด เพราะบีอีซี ก็มีแผนที่จะนำเงินส่วนนี้ไปใช้เช่นกัน
ขณะที่ศึกนอก (จากอดีตพนักงาน) ก็ถาโถม ศึกใน (จากพนักงานปัจจุบัน) ก็ยังเป็นปมที่ “บิ๊กบี๋” ต้องเร่งคลี่คลาย
การเปิดใจล่าสุดของ “อริยะ” ในวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา จึงประกาศชัดเจนว่า นับจากนี้ “บีอีซี” จะเริ่มต้นการทำงานในรูปแบบใหม่
Let’s move forward together, Let’s win together
โดยนโยบายเร่งด่วนที่ “ช่อง 3” ต้องทำคือ
สร้างรายได้จากรายการข่าว สร้างฐานแฟนข่าว มุ่งเป้าให้ “ช่อง 3 เป็นสถานีข่าวอันดับ 1 ที่ไม่ใช่แค่บนทีวี แต่บนโลกออนไลน์ด้วย”
อริยะ พนมยงค์
เป้าหมายคือ => การขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในข่าวสังคม บันเทิง และอาชญากรรม
=> การเป็นองค์กรข่าวหลักของคนไทย
=> เป็นช่องข่าวที่คนไทยให้ความเชื่อถือ
=> ใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่สุดนำเสนอข่าวออฟไลน์และออนไลน์
แน่นอนว่า “ช่อง 3” เคยเป็นเบอร์ 1 ในรายการข่าว เคยเป็นผู้บุกเบิกข่าว สร้างให้รายการข่าวในรูปแบบ “เรื่องเล่า” เกิดขึ้นในเมืองไทย จนวันนี้รายการข่าวเกือบ 100% เป็นการเล่าข่าว
การยืนหยัดครองความเป็นผู้นำทั้งในช่วงข่าวเช้า และข่าวดึก (ในยุคที่ข่าวยังไม่แบ่งซอยย่อยถี่ และมีรายการข่าวมากกว่า 100 รายการเช่นนี้) โอกาสแทบจะริบหรี่
จากอดีตเรื่องเล่าเช้านี้ที่เคยครองเรตติ้งได้ 2 อัพ แต่วันนี้ได้เกิน 1 ก็หรู
ความพยายามในการแก้เกม ปรับกลยุทธ์ ปรับรูปแบบ แม้กระทั่งปรับลดค่าโฆษณา ถือว่าผ่านมาหมดแล้ว
วันนี้ “อริยะ” บอกว่า รายการข่าวของช่อง 3 ยังมี “โอกาส” ก้าวขึ้นเบอร์ 1 หากวิเคราะห์จากสถิติผู้ชมและเรตติ้งที่มีอยู่ โดยรายการข่าวทั้งหมดที่มีในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น เรื่องเล่าหน้าหนึ่ง , เรื่องเล่าเช้านี้ , เที่ยงวันทันเหตุการณ์ , เรื่องเด่นเย็นนี้ , ข่าว 3 มิติ , เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ , เรื่องเด่นเสาร์อาทิตย์ พบว่า ช่อง 3 ครองเรตติ้งอันดับ 1 จำนวน 4 รายการ และที่เหลือเป็นอันดับ 2 และเป็นอันดับ 2 ที่แข็งแรง คือ ไล่บี้คู่แข่งแบบหายใจรดต้นคอ
ที่จ่อขึ้นเบอร์ 1 ได้ไม่ยากเห็นจะเป็น “เที่ยงวันทันเหตุการณ์” ที่ได้ “หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย” มาเป็นแม็กเน็ต ด้วยลีลาการเล่าข่าวโดดเด่น น่าสนใจ มีลูกอ้อน ลูกไล่ ความขี้เล่น ความคุ้นเคยทำให้จับต้องได้ กลายเป็นเสน่ห์
แต่ที่ต้องทำงานหนักเห็นจะเป็น “เรื่องเล่าเช้านี้” ที่ปรับ ขยับทัพ หั่นเวลา หั่นคน ก็ยังไม่สามารถเรียกเรตติ้งให้เพิ่มขึ้น
การสู้ศึกรอบด้าน ไม่ใช่แค่ “Challenge” ที่อดีต CEO Line Thailand คนนี้ต้องเผชิญ แต่กลายเป็น Beyond the Challenge ที่ต้องจับตาดูต่อไป....