หลายคนเกิดคำถามว่า Inverted Yield Curve ที่ทำให้ดัชนีหุ้นดาวน์โจนส์ของสหรัฐร่วงลงอย่างหนัก จนกระทบกับตลาดหุ้นทั่วโลกนั้นคืออะไร น่ากลัวแค่ไหน วันนี้นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มีคำตอบให้คลายข้อสงสัยกัน
หุ้นสหรัฐและหุ้นทั่วโลกทรุดหนัก นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง เพราะกังวลเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ทำไมอยู่ๆ ถึงคิดแบบนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร ที่จริงแล้วความกลัวที่เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยนั้น คงมาถามนักเศรษฐศาสตร์ไม่ได้ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจจะชี้แค่ภาวะการชะลอตัว และเชื่อว่า มีเครื่องมือทางการเงินและการคลังมาพยุงเศรษฐกิจได้ และไม่ซ้ำรอยปี 2008
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจนนักลงทุนตกใจ มาจากด้านตลาดการเงิน คือ เมื่อนักลงทุนกังวลต่อเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ทั้งจากภาษีนำเข้าของปธน. ทรัมป์ และจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอ ทำให้นักลงทุนแห่ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งหนีไม่พ้นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เมื่อมีความต้องการมาก ราคาพันธบัตรก็สูงขึ้น หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (bond yield) ก็ลดลง และนักลงทุนมีความเชื่อว่า การถือพันธบัตรระยะยาว เช่น 10 ปี ควรจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าการถือระยะสั้น เช่น 2 ปี
แต่เมื่อความกลัวเกิดขึ้น นักลงทุนแห่ซื้อพันธบัตรระยะยาว ส่งผลให้ผลตอบแทนขณะนี้ต่ำกว่าระยะสั้น ซึ่งเป็นภาวะไม่ปกติ รูปของอัตราผลตอบแทนหักหัวลง เรียก inverted yield curve ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนพันธบัตร 10 และ2 ปีติดลบ และเป็นสัญญาณว่า เมื่อไหร่ที่ส่วนต่างติดลบ เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า ซึ่งยิ่งกดดันการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงอีก
ผมมีมุมมองดังนี้
1. เรื่อง inverted yield curve ไม่ใช่เรื่องใหม่ ความกลัวนี้มีพูดมานาน แม้เพิ่งจะมาติดลบ แต่ได้คาดกันไว้อยู่แล้ว ไม่น่าช๊อกนาน
2.ปธน. ทรัมป์คงมีวิธีจัดการไม่ให้สหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ เพราะสามารถจัดการเวลาและมูลค่าภาษีนำเข้า เพื่อลดแรงกดดัน
3. เฟดพร้อมลดดอกเบี้ย ทำ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
4. ผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงมาจากสภาพคล่องมีสูง เนื่องจากผล QE 1-3 ในอดีต ไม่น่าจะคล้ายสัญญาณวิกฤติ
5. ระวังตลาดปรับตัวลงต่อได้อีก เพราะเมื่อนักลงทุนตกใจ มักขายก่อน คิดทีหลัง แต่เมื่อหมดรอบขายสั้นๆ นี้ เขาจะกลับมาลงทุนได้ใหม่ ผมไม่มองวิกฤติ แค่ชะลอ ตลาดปรับฐานระยะสั้น