หลังจากที่ “สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์” (ก.ล.ต.) มีมติลงโทษทางแพ่งกับ “3 อดีตผู้ช่วยผู้ตรวจสอบบัญชี” ของบริษัท อีวาย จำกัด (EY) บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี 1 ใน 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ถูกขนานนามให้เป็น “BIG 4” ได้สร้างแรงกระเพื่อมขึ้นในตลาดหุ้นของไทย บริษัทตรวจสอบบัญชีที่ควรจะมีความน่าเชื่อถือซึ่งไม่เฉพาะแค่ตัวบริษัท แต่ หมายรวมถึงตัวพนักงานด้วยนั้น กลับนำข้อมูลอินไซต์ หรือ อินไซเดอร์ ไปใช้หาประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง
ความเสียหายที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ในตลาดหุ้นตลาดทุน และระบบบัญชีของประเทศไทย กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำหน้าที่ของ ก.ล.ต. หน่วยงานกำกับดูแล
ในรายการ News Room ห้องข่าวเศรษฐกิจ ซึ่งออกอากาศวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10.30-11.30 น. ทางเนชั่นทีวี ช่อง 22 ช่วง “ลึก แต่ไม่ลับ กับ บากบั่น บุญเลิศ” ดำเนินรายการ โดย บากบั่น บุญเลิศ และ วิลาสินี แวน ฮาเรน เปิดปมร้อน “ตลาดแตก “ยักษ์ EY” ใช้ข้อมูลซื้อหุ้น” ที่กำลังสั่นสะเทือนวงการตลาดหุ้นตลาดทุนไทยอยู่ในขณะนี้
นายบากบั่น ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า บริษัทในตลาดหลัก ทรัพย์ของไทยมากกว่า 500 แห่ง จากทั้งหมด 708 บริษัท หรือคิดเป็น 80% ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีผลดำเนินงานไตรมาส 1/2562 รวมกันอยู่ที่ 2.92 ล้านล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 273,028 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 252,500 ล้านบาท ต่างให้การยอมรับและเชื่อถือ “บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี” จากต่างประเทศ แต่ละปีใช้จ่ายในส่วนนี้นับล้านๆ บาท
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทของไทยที่ใช้บริการจาก ผู้ตรวจสอบบัญชี สังกัด บริษัท อีวาย (EY) จำกัด อาทิ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 2.1 ล้านบาทต่อปี, บมจ. เอ็ม บี เค อยู่ที่ประมาณ 2.38 ล้านบาทต่อปี, บมจ.อมตะ ประมาณ 2.1 ล้านบาทต่อปี, กลุ่มช.การช่าง เฉลี่ยปีละ 5.5 ล้านบาท, บมจ.ทิสโก้ ประมาณ 10 ล้านบาทต่อปี และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) 4 ล้าน เป็นต้น
ทั้งนี้ “บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี” ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและเป็นที่รู้จักถูกเรียกขานกันในนามของ “BIG 4” นั้น ซึ่งคุมส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 80-90 % ประกอบด้วย 1. Deloitte Touche Tohmatsu (Deloitte) มีรายได้ปี 2016 อยู่ที่ประมาณ 1,104,000 ล้านบาท 2. Pricewaterhouse Coopers (PwC) มีรายได้ปี 2016 อยู่ที่ 1,077,000 ล้านบาท 3. EY (อีวาย) เดิม คือ “Ernst & Young” มีรายได้ปี 2016 อยู่ที่ 888,000 ล้านบาท และ 4. KPMG มีรายได้ปี 2016 อยู่ที่ 762,600 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้มีบริษัทลูกที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศไทย
ปรากฏการณ์ช็อกตลาดหุ้นไทยนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2562 เมื่อ “ผู้ช่วยผู้ตรวจสอบบัญชี” หรือ นักบัญชีของสังกัด บริษัท สำนักงานอีวาย จำกัด ได้ใช้ข้อมูลทางบัญชี จากการเข้าไปตรวจสอบบัญชีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น 12 บริษัทไปทำการซื้อขายหุ้นมีทั้งที่บอก คนสนิท และทำการซื้อขายเอง สิ่งที่ ก.ล.ต.ทำ คือ การตั้ง “คณะกรรมการพิจารณาความผิดทางแพ่ง” เนื่องจากมองว่า การดำเนินการทางอาญาต้องใช้เวลานาน และได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สั่งปรับนักบัญชีทั้ง 3 รายที่กระทำความผิด ดังนี้
1. นายวโรตม์ หน่อแก้ว อดีตผู้ช่วยผู้ตรวจสอบบัญชีถูกสั่งใช้ชำระค่าปรับทางแพ่ง และส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด และชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด รวมเป็นเงิน 7,660,441 บาท
2. นางสาวจีรนันท์ บูรณรักษ์ อดีตผู้ช่วยผู้ตรวจสอบบัญชี โดยนำข้อมูลร่างงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนที่เป็นลูกค้าซึ่งผ่านการสอบบัญชีแล้วแต่ยังไม่ได้เปิดเผยไปใช้ซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ถูก ก.ล.ต.ให้ชำระค่าปรับทางแพ่ง และส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดทั้งหมด รวมเป็นเงิน 4,645,951 บาท
3. นางสาวจีราภรณ์ บูรณรักษ์ อดีตผู้ช่วยผู้ตรวจสอบบัญชี กรณีนำข้อมูลดังกล่าวไปเปิดเผยต่อบุคคลอื่นถูกสั่งให้ชำระค่า ปรับทางแพ่งและชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด รวมเป็นเงิน 1,530,485 บาท
“มีรายงานออกมาว่า ทั้ง 3 รายยอมจ่ายค่าปรับทางแพ่งให้กับ ก.ล.ต. รวมกันกว่า 13.8 ล้านบาท เรื่องเป็นอันยุติ เอา ผิดทางอาญาไม่ได้ ที่ร้ายยิ่งกว่านั้น คือ ไม่สามารถเอาผิดสำนักงานของผู้ตรวจสอบบัญชีทั้ง 3 คนได้ นี่คือ อันตรายของตลาดหุ้นไทย” นายบากบั่น ตั้งข้อสังเกตถึงบทลงโทษที่ทั้ง 3 ราย ได้รับ
“ถ้าบริษัทยักษ์ใหญ่ต้นสังกัด มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีพนักงานบกพร่องในหน้าที่ ใช้ข้อมูลไปแสวงหาประโยชน์แห่งตน ผมถามว่าแล้วจะไว้วางใจจ้างผู้ตรวจสอบบัญชียักษ์ต่างชาติทำไม จ้างคนไทยมิดีกว่าหรือ” นายบากบั่น ตั้งข้อสังเกต ทั้งยังถามหาความรับผิดชอบ และจริยธรรมของผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเผ็ดร้อนว่า หากปล่อยไว้ไม่จัดการก็เปรียบเหมือนเป็น “มะเร็งร้าย” ในตลาดทุนไทย
คำถาม คือ อนาคตผู้ถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นจะเป็นอย่างไร ให้ใครรับผิดรับชอบ หากพนักงานไม่รับผิดชอบ ไม่มีจริยธรรมทางวิชาชีพ ทำได้แค่ปรับเท่านั้นหรือ ในต่างประเทศมีการสั่งปรับผู้ตรวจสอบ 100 ล้าน ในส่วนของ “ประเทศไทย” จะทำอย่างไรกันดี... ข้อสังเกตที่ “นายบากบั่น” ทิ้งท้ายไว้
รายงาน โดย ทีมข่าวการเมือง
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3497 วันที่ 18-21 สิงหาคม 2562