1.สิ่งที่ “แคร์รี่ หล่ำ” ประกาศ เป็นเพียงแค่ 1 ใน 5 ข้อเรียกร้อง และยังจะดำเนินคดีกับผู้ที่ใช้ความรุนแรง
2.ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “แคร์รี่ หล่ำ” ประกาศระงับร่างกฏหมายฉบับนี้ ก่อนหน้านี้ 15 มิถุนายน เธอเคยประกาศไปแล้วว่า รัฐบาลตัดสินใจระงับการพิจารณาร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว บอกว่าร่างกฎหมายนี้ ‘ตายแล้ว’ แต่ในวันรุ่งขึ้น ชาวฮ่องกง 2 ล้านคนก็ยังคงออกมาชุมนุม เพราะไม่มีอะไรรับรองได้ว่ากฏหมายจะไม่ถูกนำมาพิจารณาใหม่ ซึ่งการถอนร่างกฎหมายนี้จะมีขึ้นเมื่อมีการเปิดประชุมสภานิติบัญญัติอีกครั้งในเดือนตุลาคม
3.“โจซัว หว่อง” ไม่คิดว่าเป็นความจริงใจ เขาทวีตข้อความที่กล่าวถึงความสูญเสียมีผู้เสียชีวิต 7 คน อีก1,200 คนถูกจับ เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรง ทิ้งบาดแผลที่ยากจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
4.การใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมตลอดหลายเดือน แก๊สน้ำตา ฉีดน้ำแรงดันสูง การใส่สีที่ล้างไม่ออกผสมในน้ำ พ่นสเปรย์พริก และยิงปืนกระสุนจริง ก่อนที่จะมีการจับกุม 3 นักเคลื่อนไหวระดับแกนนำหนึ่งในนั้นคือ “โจซัว หว่อง” เมื่อ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา
5.การตัดสินใจอยู่ที่จีน ไม่ใช่ “แคร์รี่ หล่ำ” ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า เธอได้ส่งรายงานข้อเสนอและการประเมินหากทำตามข้อเรียกร้อง 5 ข้อของผู้ชุมนุมเพื่อคลี่คลายวิกฤติที่เกิดขึ้นในฮ่องกง แต่ถูกปฎิเสธ แหล่งข่าวกล่าวว่า “รัฐบาลปักกิ่ง ปฏิเสธข้อเสนอของนางแคร์รี่ที่จะถอนกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนและยังสั่งไม่ให้ยินยอมทำตามข้อเรียกร้องจากกลุ่มผู้ประท้วง ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม”
6.กองทัพจีนยังปักหลักอยู่ที่เมืองเซินเจิ้น ตั้งแต่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา กองกำลังตำรวจติดอาวุธประชาชนจีน รถต่างๆกว่า 500 คันทั้งรถหุ้มเกราะรถ รถลำเลียงพล รถฉีดน้ำแรงดันสูง ประจำการอยู่ที่สนามกีฬาในเมืองเสิ่นเจิ้น ห่างสนามบินฮ่องกง 56 กิโลเมตร ผู้นำกองทัพทั่บผิดชอบเคยประกาศสามารถเข้าฮ่องกงได้ภายใน 10 นาที
7.20 ส.ค.ที่ผ่านมา ทางการจีนประกาศพัฒนาเมือง “เซินเจิ้น” เป็นพื้นที่นำร่องตามแนวทางสังคมนิยมแบบจีน เพื่อเป็น “ศูนย์กลางทางการเงินนานาชาติแห่งใหม่” แทนที่ “ฮ่องกง” พิจารณาจากศัยภาพไม่ใช่เรื่องยากเพราะที่ผ่านมา เซินเจิ้นมีอัตราการเติบโตที่ 7.5% แซงหน้าฮ่องกงที่เติบโต 3% ในปี 2018