ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ยอมรับว่าขณะนี้จีนกำลังเผชิญหน้ากับ ‘ความเสี่ยงและความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่’จากหลายๆด้าน ที่สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนทุกระดับต้องร่วมมือกันต่อสู้ เพื่อเอาชนะให้ได้ ซึ่งหนึ่งในความเสี่ยงและท้าทายเหล่านั้น ก็คือ สถานการณ์ในฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีจีน จัดประเภทของความเสี่ยงและความท้าทายดังกล่าวแยกออกจากกิจการในต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลปักกิ่งจัดประเภทไว้เพียงสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา ปัญหาสิ่งแวดล้อม และความท้าทายทางยุทธศาสตร์
สำนักข่าวซินหัว สื่อใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนรายงานว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวต่อที่ประชุมนักศึกษาของสถาบันรัฐประศาสนศาสตร์และธรรมาภิบาลแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ เมื่อเร็วๆนี้ (3ก.ย.) ว่า สมาชิกรุ่นใหม่ของพรรคคอมมิวนิสต์ จะต้องร่วมมือกันต่อสู้เพื่อเอาชนะความเสี่ยงครั้งยิ่งใหญ่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน โดยจะต้องมีความรอบรู้ ศึกษาสิ่งต่างๆอย่างรอบด้านเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับทุกๆการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์
“สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ในอนาคตต้องศึกษาเพิ่ม และเตรียมความพร้อมรับมือกับกระแสลมที่เปลี่ยนทิศเสมอ เหมือนกวางที่รู้ความแตกต่างของผืนหญ้าเพียงใช้เท้าสัมผัส เหมือนเสือที่รับรู้ความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์จากกลิ่นของสายลม และมนุษย์ ซึ่งต้องสังเกตความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลได้จากการเปลี่ยนสีของใบไม้”
ถ้อยแถลงของผู้นำจีนครั้งนี้ เกิดขึ้นเพียงวันเดียว ก่อนที่นางแคร์รี แลม ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง จะประกาศเพิกถอนร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับแผ่นดินใหญ่ มาเก๊าและไต้หวันเป็นการถาวร หลังจากที่เรื่องนี้กลายเป็นชนวนของความไม่สงบในฮ่องกงตั้งแต่เดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ ผู้นำจีนเคยกล่าวถึงนางแคร์รี แลม ด้วยความชื่นชมด้วยว่า ทั้งตัวเธอและคณะรัฐบาลฮ่องกงเป็นผู้นำที่กล้าหาญ และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มกำลังที่จะแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากต่างๆ ทั้งยังยืนหยัดรักษานโยบาย “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ในการบริหารฮ่องกงให้มีความก้าวหน้า ซึ่งรวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆของฮ่องกงให้เชื่อมโยงกับการพัฒนาพื้นที่ “Greater Bay Area” ที่ครอบคลุมฮ่องกง มาเก๊า และมณฑลกวางตุ้งของจีน ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเงินที่สำคัญ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘ถอย’ เพื่อเดินหน้า ‘แคร์รี แลม’ เสนอ 4 ขั้นผ่าทางตันฮ่องกง
'โจชัว หว่อง' แย้ง 'สายเกินไป' กับการถอดร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน