บลจ.กสิกรไทย จ่ายปันผล 3 กองทุน FIF ฝ่าความผันผวนกว่า 160 ล้านบาท ลูกค้าเตรียมเฮรับพร้อมกัน 13 ก.ย.นี้
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัดหรือ KASSET เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายปันผลกองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100-A ชนิดจ่ายเงินปันผล (K-USXNDQ-A(D)) และกองทุนเปิดเค โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ หุ้นทุน (K-GINFRA) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่ 1 มีนาคม 2562 ถึง 31 สิงหาคม 2562 และกองทุนเปิดเค โกลบอล แอลโลเคชั่น (K-GA) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2562 ถึง 31 สิงหาคม 2562 กำหนดจ่ายปันผลพร้อมกัน 13 กันยายน 2562 รวม 165.19 ล้านบาท
กองทุน K-USXNDQ-A(D) มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯในกลุ่มไอที ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯในภาพรวม ด้วยกลยุทธ์บริหารจัดการกองทุนหลักแบบเชิงรับ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนปี 2556 กองทุนจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องทุกปีรวม 24 ครั้ง เป็นเงิน 7.75 บาทต่อหน่วย โดยมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 4 ไตรมาสย้อนหลัง (Dividend Yield) อยู่ที่ 5.91% ต่อปี
กองทุน K-GINFRA มีนโยบายที่เน้นลงทุนในหุ้นและ REITs ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ซึ่งจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว และอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานที่มีความอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ย (Yield Related) มีความน่าสนใจ ซึ่งตั้งแต่จัดตั้งกองทุนปี 2559 กองทุนจ่ายปันผลรวม 8 ครั้ง เป็นเงิน 1.75 บาทต่อหน่วย โดยมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 4 ไตรมาสย้อนหลัง (Dividend Yield) อยู่ที่ 4.24% ต่อปี
กองทุน K-GA มีนโยบายเน้นกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน โดยผู้จัดการกองทุนหลักจะปรับสัดส่วนให้เหมาะสมตามสภาวะตลาด ซึ่งนับตั้งแต่ตั้งกองทุนปี 2545 กองทุนจ่ายปันผลรวม 16 ครั้ง เป็นเงิน 5.70 บาทต่อหน่วย มีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 4 ไตรมาสย้อนหลัง (Dividend Yield) อยู่ที่ 1.81% ต่อปี
“ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่ชะลอตัวลง จากปัจจัยเสี่ยงภายนอกทั้ง สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมถึงประเด็น Brexit ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกดดันต่อภาคการผลิต โดยจะเห็นได้จากดัชนี PMI ภาคการผลิตที่ปรับลดลงทั่วโลกและส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50 จึงค่อนข้างระมัดระวังต่อการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นโลก ซึ่งสำหรับผู้ลงทุนที่สามารถรับความผันผวนได้ แนะนำให้กระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวน”