บ.อินโนสเปซฯ วางเป้า 4-5 ปีได้ยูนิคอร์น 1-2 ราย

10 ก.ย. 2562 | 04:20 น.

บ.อินโนสเปซเผยภายใน 4-5 ปีจะมียูนิคอร์นเกิดขึ้น 1-2 ราย  แย้มขณะนี้ได้รายชื่อเอ็มอีที่ถูกนำเสนอมาแล้ว 7-8 ราย  ชี้เดือนตุลาคมจะมีการนำเสนอรายชื่อสตาร์ทอัพรอบแรกให้คณะกรรมการพิจารณาหาบริษัทที่มีศักยภาพเพื่อสนับสนุนต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์

บ.อินโนสเปซฯ วางเป้า 4-5 ปีได้ยูนิคอร์น 1-2 ราย

                นายเดชา  จาตุธนานันท์  รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เปิดเผยว่า จากการจัดตั้งบริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด  เชื่อว่าภายใน 4-5 ปี จะสามารถสร้างธุรกิจที่เติบโตรวดเร็วมูลค่าสูง (ยูนิคอร์น)ได้ประมาณ 1-2 รายเป็นอย่างน้อย  เนื่องจากการสร้างยูนิคอร์นไม่ใช่เรื่องง่าย  โดยอาจจะต้องสร้างสตาร์ทอัพขึ้นมาเป็นพันรายกว่าจะได้มาซึ่งยูนิคอร์น  เพราะยูนิคอร์น 1 รายสามารถสร้างรายได้ได้ประมาณ  1 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ

                อย่างไรก็ตาม  หลังจากที่มีการคัดเลือกกรรมการผู้จัดการ  หรือเอ็มดี (MD) เสร็จเรียบร้อย กสอ. ซึ่งถือเป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักในการดำเนินการ  จะทยอยถอยออกมาดูเรื่องของแผนในการช่วยเหลือมากกว่า  โดยปล่อยให้เอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อน  ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 1 เดือน  โดยที่เอ็มดีจะต้องเป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้อยู่ในพันธมิตรร่วมลงทุน  ซึ่งจะถูกนำเสนอชื่อขึ้นมาจากคณะกรรมการที่มีสิทธิ์เสนอ  โดยขณะนี้มีชื่อที่ถูกนเสนอขึ้นมาแล้วประมาณ 7-8 ราย ทั้งที่เป็นคนไทย  และชาวต่างชาติ

                “คุณสมบัติของเอ็มดีส่วนใหญ่จะต้องเคยมีการลงทุนในสตาร์ทอัพมาก่อน  หรือมีประสบการณ์เรื่องการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ  โดยการดำเนินการหลังจากนี้นั้น ภายใน 1-2 เดือนนี้เป็นประมาณ 125-130 ล้านบาท  หรือประมาณ 25จาก 515 ล้านบาทที่ระดมทุนได้ในระยะแรก 

                ทั้งนี้ ในเดือนตุลาคมจะมีการนำสตาร์ทอัพจากประเทศฮ่องกงประมาณ 50-100 รายและสตาร์ทอัพจากประเทศไทยอีก 50-100 ราย  ที่ได้รับการคัดเลือกมานำเสนอสู่คณะกรรมการ  เพื่อดูว่าบริษัทใดมีศักยภาพในการที่อินโนสเปซจะสนับสนุนทางด้านเงินทุนในการนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์  ซึ่งจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการได้กำหนดเอาไว้

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้เกิดแหล่งรวมเทคโนโลยี งานวิจัย นักลงทุน และสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ อีกทั้งโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ยังเป็นประตูสู่กลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี(กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และภูมิภาคอาเซียนเป็นข้อต่อสู่ประเทศจีน ทำให้สตาร์ทอัพองไทยเชื่อมโยงสู่เวทีระหว่างประเทศได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจมีอัตราการขยายตัวได้มากกว่าปัจจุบันที่เฉลี่ยโตปีละ 4-5%

บ.อินโนสเปซฯ วางเป้า 4-5 ปีได้ยูนิคอร์น 1-2 ราย

อย่างไรก็ดี เบื้องต้น ยังดึงหัวเว่ยมาเป็นพันธมิตรแล้ว ส่วนไมโครซอฟท์ ซัมซุง กูเกิล กำลังจะตามมาเป็นพันธมิตร ทำให้เกิดการพัฒนาสตาร์ทอัพร่วมกัน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนสตาร์ทอัพในไทยให้เกิดขึ้นเป็นหลักหมื่นหลักแสนราย และมีการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ให้มากขึ้น โดยช่วงสิ้นเดือนกันยายนนี้กระทรวงการคลังจะร่วมมือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สภาเกษตรกรและกองทุนหมู่บ้านออกมาตรการขับเคลื่อนให้เกษตรกรให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการใช้เทคโนโลยีและความรู้ใหม่ๆ ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรให้มากขึ้น

“ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาแนวทางส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตร บริการและการท่องเที่ยวที่เป็นอุตสาหกรรมฐานราก ต่อยอดการสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ออกมาตรการพัฒนาบุคลากร โดยให้บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เป็นหน่วยพัฒนาบุคคลากรเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น วิศวกรด้านพลังงาน  รวมถึงกลุ่มบมจ.กรุงเทพดุสิต เวชการ พัฒนาบุคคลากรด้านการแพทย์ และบมจ.การบินกรุงเทพ ฝึกอบรมด้านการบิน เป็นต้น

บ.อินโนสเปซฯ วางเป้า 4-5 ปีได้ยูนิคอร์น 1-2 ราย

นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงมผลักดันโครงการอินโนสเปซ ไทยแลนด์เป็นแพลทฟอร์มที่เชื่อมโยง บูรณาการ และประสานความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศด้านการลงทุน การบ่มเพาะธุรกิจ และด้านเทคโนโลยีองค์ความรู้ เป็นกลไก เพื่อสร้างสตาร์ทอัพให้มีความเข้มแข็ง ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน ช่วยสร้างระบบนิเวศและยกระดับสตาร์ทอัพไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว ตั้งเป้าหมายสร้างสตาร์ทอัพ 300 รายภายใน 1 ปี

“ขณะนี้มีบริษัทที่แสดงความสนใจระดมทุนเพิ่มเติมอีก โดยอยู่ระหว่างเสนอบอร์ด เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) รอความเห็นชอบจากบอร์ดก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาวงเงิน 100 ล้านบาท อีกทั้งธนาคารออมสิน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชา(กสทช.) ซึ่งอินโนสเปซ ไทยแลนด์จะเน้นช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เกษตรแปรรูป ไบโออีโคโมมี การแพทย์สมัยใหม่ ล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม”

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานที่ปรึกษา บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีสตาร์ทอัพประมาณ 1,000 ราย ซึ่งประสบความสำเร็จมีเพียงแค่ประมาณ 100 รายเท่านั้น ภารกิจจากนี้ไปอินโนสเปซตั้งเป้าหมายสร้างสตาร์ทอัพให้เป็น 10-100 เท่า เพื่อหวังจะให้เกิดสตาร์ทอัพที่เป็นยูนิคอร์น ไทยจึงต้องเพิ่มจำนวนสตาร์ทอัพที่มีคุณภาพไปสู่สากลให้มากขึ้น จากเวลานี้ประสบปัญหาด้านการตลาด ฐานลูกค้าแคบ จึงจำเป็นต้องจับมือกับต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง เกาหลี จีน เป็นต้น ซึ่งในระยะต่อไปไทยจะมีการลงนามความร่วมมือกับประเทศอิสราเอล และญี่ปุ่น

บ.อินโนสเปซฯ วางเป้า 4-5 ปีได้ยูนิคอร์น 1-2 ราย

อนึ่ง บ.อินโนสเปซฯ เป็นความร่วมมือระหว่างเครือข่ายภาครัฐ ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และพันธมิตรเอกชน และสถาบันการเงิน รวมจำนวน 12 องค์กรในเบื้องต้น  โดยขณะนี้มีเครือข่ายสนับสนุนด้านเงินทุนแล้ว 515 ล้านบาท ได้แก่ บมจ.ปตท. 100 ล้านบาท บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ 30 ล้านบาท เครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) ร่วมกับกลุ่มทรู คอร์ปอเรชั่น 50 ล้านบาท ธนาคารไทยพาณิชย์ 50 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพ 50 ล้านบาท ธนาคารกสิกรไทย 50 ล้านบาท ธนาคารกรุงไทย 50 ล้านบาท บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ 50 ล้านบาท เครือสหพัฒน์ 30 ล้านบาท บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป 30 ล้านบาท บมจ.การบินกรุงเทพ 20 ล้านบาท  และธนาคารรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(เอสเอ็มอีดีแบงก์) 5 ล้านบาท

หลังจากนี้จะมีการลงนามความร่วมมือด้านการระดมทุนครั้งที่สอง โดยเบื้องต้นผู้ร่วมลงทุนจะประกอบด้วย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ,สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ,ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ,ธนาคารออมสิน  ,บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)  นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรที่จะมาช่วยยกระดับในด้านนวัตกรรม เทคโนโลยีให้กับสตาร์ตอัพเพิ่มอีก อาทิ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน)