ศาลรธน.เอกฉันท์ตีตกปม“ประยุทธ์”ถวายสัตย์

11 ก.ย. 2562 | 10:20 น.

ศาลรธน.มีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องตีความถวายสัตย์ ขัดรธน. ชี้เป็นเรื่องความสัมพันธ์ฝ่ายบริหารกับสถาบันไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด

 

วันนี้ ( 11 ก.ย.) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินกรณีส่งคำร้องของนายภาณุพงศ์  ชูรักษ์ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา  213 ว่า การที่พล.อ.  ประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา  161 เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา  5  วรรคหนึ่ง และเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียนไว้พิจารณาวินิจฉัย 

เนื่องจากเห็นว่าแม้นายภานุพงศ์ จะอ้างว่า ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561  มาตรา  47(1) บัญญัติว่า  “การใช้สิทธิยื่นคำร้องตามมาตรา  46  ต้องเป็นการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพอันเกิดจากการกระทำของหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือหน่วยงานซึ่งใช้อำนาจรัฐ และต้องมิใช่เป็นกรณีอย่างหนึ่งอย่างใด  ดังต่อไปนี้  (1) การกระทำของรัฐบาล”  และมาตรา  46 วรรคสาม บัญญัติว่า  “...  ถ้าศาลเห็นว่าเป็นกรณีต้องห้ามตามมาตรา  47 ให้ศาลสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา” ซึ่งการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์เป็นการกระทำทางการเมือง  (Political Issue)  ของคณะรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญฝ่ายบริหารในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์อันอยู่ในความหมายของการกระทำของรัฐบาล  (Act of Government)  ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ  พ.ศ.  2561 มาตรา  47(1)  ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจรับคำร้องไว้พิจารณาได้ ตามมาตรา  46  วรรคสามได้

นอกจากนี้เมื่อวันที่  16 ก.ค. 62 เวลา 17.45 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณ ก่อนเข้ารับหน้าที่  ณ  พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต  หลังจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณจบ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัส  เพื่อให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้น้อมนำไปเป็นแนวทางในการบริหารราชการแผ่นดิน 

และต่อมาเมื่อวันที่  27  สิงหาคม 2562  เวลา  09.00 น.  นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรีได้เข้ารับพระราชดำรัสในโอกาส เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ซึ่งพระราชทานเป็นลายลักษณ์อักษร  พร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธยโดยเข้ารับต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์  ณ  ห้องรับรอง  ชั้น  5 ตึกบัญชาการ  ทำเนียบรัฐบาล  การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ดังกล่าวจึงไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด

อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องในประเด็นเดียวกัน จากกรณีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ(ทษช.) ยื่นขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่า การถวายสัตย์ปฏิญาณของพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ครบถ้วน และการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิแสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยเห็นว่า

เป็นกรณีที่นายเริองไกรกล่าวอ้างว่าพล.อ.ประยุทธ์ ไม่กระทำการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 และมาตรา 162 ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นข้อเท็จจริงที่พล.อ.ประยุทธ์ได้ดำเนินการหรือยุติไปแล้วก่อนที่นายเรืองไกรจะยื่นต่อศาลให้วินิจฉัย โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา  49 วรรคหนึ่ง  แต่อย่างใด  กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา  49  วรรคสอง  ประกอบพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ  พ.ศ.  2561  ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้