สงครามการค้าไม่มีผู้ชนะ จีนเน้นสร้างความร่วมมือ เราจะพัฒนาไปด้วยกัน

14 ก.ย. 2562 | 08:50 น.

สัมภาษณ์พิเศษ ฯพณฯ หลู่ย์ เจี้ยน เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย

โดย รัตนศิริ สุขัคคานนท์

 

ปี 2562 เป็นปีที่มีความสำคัญ นอกจากจะเป็นปีที่มีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนครบรอบ 70 ปีในวันที่ 1 ต.ค.นี้แล้ว ยังเป็นปีที่จีนและไทย ซึ่งเป็นมหามิตรมายาวนานจะได้เฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 44 ปี ซึ่งทั้งสองฝ่ายจัดเตรียมกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์และเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ นายหลู่ย์ เจี้ยน เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างจีนและไทยไม่เพียงในบริบทของโครงการความร่วมมือ และการค้า-การลงทุน แต่ยังลงลึกถึงความสัมพันธ์ในภาคประชาชนที่ต่างฝ่ายต่างทำความรู้จักกันมากยิ่งขึ้น และในปีที่ผ่านมา (2561) ก็มีนักท่องเที่ยวชาวจีนมาเยือนประเทศไทยถึง 10 ล้านคน “จีน-ไทย ไม่ใช่อื่นไกลคือพี่น้องกัน” นี่คือประโยคแรกๆในภาษาไทยที่ท่านทูตหลู่ย์ เจี้ยน พูดได้อย่างคล่องแคล่วและใช้บ่อย ด้วยความเข้าใจในความหมายที่แสดงถึงความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งและมิตรภาพที่ดีต่อกันมายาวนาน

 

ในส่วนของความร่วมมือทางเศรษฐกิจจีน-ไทย นั้น ท่านทูตจีนกล่าวว่า จีนมีนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจที่เปิดกว้างสู่ภายนอกสะท้อนได้จากนโยบาย “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” หรือที่รู้จักกันในนามเส้นทางสายไหมยุคใหม่ (Belt and Road Initiative: BRI) ที่เน้นสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านของจีน ซึ่งครอบคลุมมาถึงไทยและอาเซียน ก่อให้เกิดโครงการต่างๆมากมายทั้งด้านการค้าและการลงทุนซึ่งผู้ประกอบการของไทยก็สามารถเข้ามีส่วนร่วม ยกตัวอย่างโครงการความร่วมมือรถไฟไทย-จีน ที่เชื่อมโยงเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากจีนมายังประเทศไทย (และเชื่อมไปถึงประเทศอื่นๆในอาเซียน) ขณะนี้ เส้นทางแรก กรุงเทพฯ-โคราช แม้จะมีความล่าช้าในช่วงแรกๆ แต่การก่อสร้างก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว และช่วงปีนี้ก็พร้อมเดินหน้าประมูล 14 ระยะ (14 สัญญาย่อยๆ) ซึ่งคาดว่าบางส่วนของสัญญาย่อยเหล่านี้จะเริ่มการก่อสร้างได้ในปีหน้า (2563) ขณะที่ โครงการเส้นที่สอง โคราช-หนองคาย ก็คืบหน้าเป็นไปตามแผน “นี่คือหนึ่งในโครงการที่จะเป็นต้นแบบความร่วมมือระหว่างประเทศตามนโยบายเปิดสู่โลกกว้างผ่านยุทธศาสตร์ BRI จีนยึดถือหลักการสร้างความร่วมมือกับประเทศต่างๆเพื่อพัฒนาก้าวหน้าไปด้วยกัน แม้ขณะเกิดสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา จีนก็ยังเดินหน้าพัฒนาความสัมพันธ์กับนานาประเทศทั่วโลก รวมทั้งไทย”

 

 เทรดวอร์ทำลายเศรษฐกิจทุกฝ่าย

ท่ามกลางบริบทของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยืดเยื้อมากว่า 1 ปี ท่านทูตหลู่ย์ เจี้ยน ยอมรับว่า บรรยากาศการเผชิญหน้าเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายใดเลย สงครามการค้าจะไม่มีผู้ชนะ การตั้งกำแพงภาษีขึ้นมาเป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้าโดยฝ่ายสหรัฐฯ จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ไม่เพียงเฉพาะเศรษฐกิจจีน พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย และไม่เว้นแม้กระทั่งเศรษฐกิจของสหรัฐฯฯเองก็ถูกทำลายเพราะเรื่องนี้ เห็นได้จากเศรษฐกิจสหรัฐฯไตรมาสที่สองขยายตัวลดลงจาก 3% ในไตรมาสแรกเหลือเพียง 2.1% สะท้อนว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯเองก็มีแนวโน้มชะลอตัวลง เช่นเดียวกับเศรษฐกิจโลกในภาพรวมที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน คาดว่าปีนี้จีดีพีโลกจะขยายตัวเพียง 2.7% จากที่เคยโต 3% ในปี 2561 ส่วนการค้าขายระหว่างประเทศที่เคยเติบโต 3.7% ในปีที่ผ่านมา ก็คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 2.6% ซึ่งเป็นผลจากการกระทำแต่เพียงฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ และเป็นการทำร้ายเศรษฐกิจโลก

 

“โลกทุกวันนี้คือโลกาภิวัตน์ แต่ละประเทศแบ่งงานกันทำตามความถนัด เช่น บริษัทหัวเว่ยผลิตโทรศัพท์มือถือ ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตจากหลายสิบบริษัททั่วโลก ร่วมกันผลิตโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง การที่สหรัฐข่มขู่หัวเว่ยก็เท่ากับทำร้ายอีกหลายสิบบริษัทจากหลายประเทศ ไม่ใช่แค่ทำร้ายบริษัทจีนอย่างเดียว” เอกอัครราชทูตจีนยกตัวอย่างและกล่าวว่า สำหรับจีนแล้ว ประตูการเจรจานั้นเปิดอยู่เสมอ และจีนเองยินดีเจรจาด้วยสันติวิธีเพื่อหาทางออกด้วยการปรึกษาหารือกันอย่างเสมอภาค มีความเคารพซึ่งกันและกัน “จีนไม่เคยกลัวสงครามการค้าเพราะเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของจีนเอง เราพร้อมเจรจาบนความเสมอภาค แต่ถ้าเป็นเรื่องของผลประโยชน์แห่งชาติจีนไม่มีวันยอม” ท่านทูตจีนกล่าวถึงวาทะของท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ประเทศจีนนั้นเปรียบเสมือนทะเลที่กว้างใหญ่ ไม่ใช่บ่อน้ำ คลื่นลมสงครามการค้าที่เกิดขึ้นไม่อาจสร้างผลกระทบต่อทะเลอันกว้างใหญ่นั้นได้

สงครามการค้าไม่มีผู้ชนะ จีนเน้นสร้างความร่วมมือ เราจะพัฒนาไปด้วยกัน

ฯพณฯ หลู่ย์ เจี้ยน

70 ปีแห่งการพัฒนา จีนจะก้าวหน้าต่อไป

มองย้อนกลับไป 70 ปีที่ผ่านมา จีนมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันจีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของโลกด้วยจำนวนประชากร 1.4 พันล้านคน มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (รองจากสหรัฐฯ) โครงสร้างเศรษฐกิจของจีนพึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศมากขึ้น คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของจีดีพี สงครามการค้าทำให้จีนต้องเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจให้เปิดกว้าง เน้นอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ ลดภาษี-ค่าธรรมเนียม ปล่อยสินเชื่อสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) มากขึ้น ปฏิรูปชนบททำให้ชีวิตเกษตรกรดีขึ้น และสร้างเขตการค้าเสรีในหลายมณฑลพิจารณาตามสภาพพื้นที่ โดยมีเป้าหมายการพัฒนาแบ่งเป็น 3 ระยะ (ปี ค.ศ. 2020, 2035 และ 2050 ตามลำดับ) สู่การเป็นสังคมที่ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความทันสมัย และเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยี

 

“เมื่อก่อนเวลาที่ชาวต่างชาติไปประเทศจีน จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จีนเป็นประเทศแห่งจักรยานเพราะมีคนใช้จักรยานกันเยอะมากเต็มท้องถนน แต่ปัจจุบันภาพเช่นนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว บนท้องถนนของจีนเต็มไปด้วยรถยนต์ที่มีจำนวนถึง 325 ล้านคันทั่วประเทศ เฉลี่ยรถยนต์ 1 คันต่อประชากร 4 คน อีกทั้งจีนยังให้ความสำคัญกับการพัฒนายานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รถยนต์ที่เห็นจึงเป็นรถยนต์ไฟฟ้านับล้านคัน นอกจากนี้ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนยังขยายฐานการผลิตออกมาจับมือกับพันธมิตรร่วมผลิตในต่างแดนอีกด้วย ยกตัวอย่างบริษัท BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีนได้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยแล้ว เป็นต้น

 

ขอบคุณไทยหนุน 1 ประเทศ 2 ระบบ

เกี่ยวกับประเด็นการชุมนุมประท้วงในฮ่องกงที่หลายฝ่ายแสดงความเป็นห่วงเป็นใย ท่านทูตหลู่ย์ เจี้ยน อธิบายว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกิจการภายในของฮ่องกง แต่กลับถูกแทรกแซงจากภายนอก โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา ทำให้ประเด็นการแก้ไขร่างกฎหมายผู้หนีคดีและความช่วยเหลือร่วมกันทางกฎหมายในคดีอาญา (แก้ไขเพิ่มเติม) ค.ศ. 2019 (Fugitive Offenders and Mutual Legal Assistance in Criminal Matters Legislation (Amendment) Bill 2019) กลายเป็นเรื่องลุกลามเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตย กลายเป็นประเด็นทางการเมืองแม้ว่ารัฐบาลฮ่องกงจะยกเลิกร่างกฎหมายเจ้าปัญหาดังกล่าวไปแล้วก็ตาม “เขตปกครองพิเศษฮ่องกงมีกฎหมายพื้นฐานอยู่แล้ว ถ้าวันหนึ่งสถานการณ์บานปลายกระทบอธิปไตยของจีน และความมั่นคงของฮ่องกงและแผ่นดินใหญ่ รวมถึงกระทบหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบ รัฐบาลจีนก็อาจจะพิจารณาใช้มาตรการตามกฎหมาย” อย่างไรก็ตาม ท่านทูตกล่าวว่า นางแคร์รี แลม และทีมบริหารมีแผนเปิดเวทีเจรจาพูดคุยกับผู้ชุมนุม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เพื่อหาทางออกที่ดีร่วมกัน จีนจึงเชื่อมั่นว่า ยังสามารถหาทางออกแบบสันติวิธีได้ โดยยึดมั่นในหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบ และกฎหมายขั้นพื้นฐานของฮ่องกงที่มีอยู่แล้ว

 

“ขอขอบคุณมิตรประเทศที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลฮ่องกงและจีน ขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศของไทยที่ออกแถลงการณ์สนับสนุนรัฐบาลจีนที่ว่า เรื่องฮ่องกงเป็นกิจการภายในของจีน รัฐบาลไทยยืนหยัดสนับสนุนหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบ ขอบคุณบุคคลที่แถลงการณ์ผ่านหนังสือพิมพ์ฮ่องกง สนับสนุนท่าทีของรัฐบาลจีนและรัฐบาลฮ่องกง จีนเชื่อมั่นว่าสถานการณ์ของฮ่องกงจะต้องสงบลงได้อย่างแน่นอน” ท่านทูตหลู่ย์ เจี้ยน กล่าวในที่สุด

หน้า 12 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3505 ระหว่างวันที่ 15 - 18  กันยายน 2562