ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวให้ความเห็นในหัวข้อ “พายุเทคโนโลยีกับการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ” โดยเน้นย้ำว่า โลกไม่เหมือนเดิมไม่ใช่โลกที่เราเคยจินตนาการ จากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่แปรปรวน โดยปี 2018 มีทั้งข่าวฝนตกหนัก เขื่อนเซเปียนแตก ถัดมาอีก 2 เดือนมีข่าวคลื่นยักษ์สึนามิ ต่อด้วยข่าวพายุปาบึก เป็นต้น
“ธรรมชาติส่งสัญญาณให้เห็นแล้วว่า โลกจะไม่เหมือนเดิม ในอดีตนักวิชาการไทยซึ่งไม่เคยมีความเห็นตรงกันกลับเห็นตรงกันในเรื่องหนึ่ง คือ แผ่นดินไหวจะไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่สุดท้ายเกิดแผ่นดินไหวที่อำเภอแม่ลาว
ดังนี้ วันนี้ใครที่บอกว่า ดีอยู่แล้ว ไม่เปลี่ยน นั่นคือ แพ้ มีตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วกับ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ล้มไปอย่างไม่มีใครคาดคิด นั่นก็คือ บริษัท โกดักส์, โนเกีย และ โมโตโลร่า ยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ใหญ่แค่ไหนก็ไม่รอดถ้าไม่เปลี่ยนแปลง แล้วเราเป็นใครจะไม่เปลี่ยนได้อย่างไร จะบอกว่า ใจเย็นๆค่อยเป็นค่อยไป
ผมอยากจะบอกว่าเช่นกันว่า ช้าไปเพียงวันละ 1 นาทีก็สู้เขาไม่ได้แล้วเพราะวันนี้เป็นยุคทำลายล้าง เป็นโลกที่น่ากลัวที่สุดเพราะเราไม่รู้ว่า สู้กับใคร และใคร คือ คู่แข่งของเรา เป็นยุคที่โหดร้ายที่สุด แม้แต่นักเล่นหุ้นมือทอง นักกฎหมายยังแพ้เอไอ และถ้าเราไม่สู้ ไม่เปลี่ยน ประเทศไทยไปไม่ได้
เราเข้าสู่ยุคไอด้อนท์แคร์ เราจึงเห็นคนจบวิศวะไปปลูกผัก จบที่หนึ่งบัญชีไปขายของออนไลน์ วันนี้โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ในเจเนอเรชั่นของเราจะเป็นลูกจ้างเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เพราะเด็กรุ่นใหม่่ เขาเชื่อมโยงกับโลกเชื่อมโยงกับเทคโนโลยี เงินแสนล้านง่ายนิดเดียว
"โลกยุคดิสรัปชั่น ประสบการณ์ใช้ไม่ได้ พูดไม่ได้ว่า เราอาบน้ำร้อนมาก่อน วันนี้ 1 คนเปลี่ยนโลกได้โดยไม่ต้องมีใบปริญญา ยกตัวอย่างเช่น สตีฟ จ้อบ, บิลล์ เกต และมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก
"แชมป์โลกไม่เคยนอนหลับ สู้สุดฤทธิ์ และสังคมต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงสุดๆ คนโหยหาการเปลี่ยนแปลง รอเพียงคนกล้าเท่านั้น ถ้าไม่ทำก็เหมือนเดิม"
อย่างไรก็ดี ศ.ดร.สุชัชวีร์ ตั้งข้อสังเกตว่า การจะเปลี่ยนแปลงได้นั้นต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของตัวเองซึ่งเป็นคนที่สำคัญที่สุด เช่น ตัวเขาเองนั้นแม้จะเป็นอธิการบดีแต่ก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มนักศึกษา เคยแม้กระทั่งปลอมตัวเป็นนักศึกษาไปร่วมนั่งปฐมนิเทศกับนักศึกษามาแล้ว นั่นเป็นเพราะมองว่า ประเทศไทยต้องลงทุนกับทรัพยากรรุ่นนี้
วันนี้จะสู้กับดิสรัปชั่น จะแข่งกับคนเก่งต้องคบกับคนที่เก่งที่สุด จึงได้จับมือกับมหาวิทยาลัยคาเนกีเมลลอนมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกมาตั้งในไทย
ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า มีหลายประเทศที่สนใจอยากมาประเทศไทยเพราะคนไทยมีเสน่ห์ มีความจริงใจ แต่ปัญหาของคนไทย คือ การทำงานเป็นทีม ถ้าลดเรื่องนี้ลงได้และเชื่อมั่นกัน เชื่อว่า 20 ปีข้างหน้าประเทศไทยไม่ต้องกลัวใคร
ไม่ว่าจะอาชีพไหน หากไม่รู้เทคโนโลยีไปไม่รอด โลกวันนี้คนเก่งมี 1 ใน 100 คนมีความสามารถ 1 ใน 1,000 แต่ทั้งเก่งและมีความสามารถด้วย 1 ในล้าน วันนี้ต้องสอนให้ฉลาดขึ้นด้วยบิ๊กเดต้า
เชื่อมั่นว่า คนไทยชนะได้ถ้ามุ่งมั่น และมีวินัย
ยุคนี้ คือ ยุค sensorization of things ไล่ล่าซึ่งเกิดขึ้นแล้วและคาดการณ์ได้ยาก วันนี้เอไอชนะหมอ เอไอรู้จักเราดีมากกว่าที่เรารู้จักตัวเอง
สำหรับจุดตายของประเทศไทย คือ ความเป็นเมือง เพราะความเป็นเมืองมีอัตราเร่ง ความน่ากลัว คือ การขยายตัวของเมืองอย่างรุนแรงที่เป็นตัวไดร์ฟเทคโนโลยี มนุษย์ได้ยกความฉลาดให้เอไอ ซึ่งไม่มีที่เป็นของคนไทยเลย หากเป็นเช่นนี้ประเทศไทยจะกินน้ำใต้ศอกประเทศอื่นเพราะเราไม่มีอะไรเป็นของคนไทยเลย เราจะประสบความสำเร็จได้ ต้องมีการวางแผน มีกลยุทธ์ และมี passion ใครก็เปลี่ยนแปลงโลกได้ กูเกิ้ล เฟสบุ๊กส์ ไม่มีใครสนใจเรื่องการศึกษาแต่ดูที่ความมุ่งมั่น
ดังนั้น ห้ามพูดว่าแก่เกินไปที่จะเรียนรู้ ที่สำคัญห้ามดูถูกองค์กร และประเทศ รวมถึงคนไทยด้วยกันเอง วันนี้โลกไปไกลยิ่งกว่าที่เราคิด ถึงเวลาต้องปรับตัว เชื่อว่า ถ้าคิดจะสู้ก็สู้ได้เพราะคนไทยเก่ง