ASPS ฟันธงหุ้นไทยพ้นจุดต่ำสุด แนะทยอยสะสม 7 หุ้นน้ำดี ซื้อหุ้นกู้ล็อกยีลด์

24 เม.ย. 2567 | 03:15 น.

บล.เอเซียพลัส ประเมินตลาดหุ้นไทยไตรมาส2/67 ผ่านพ้นจุดต่ำสุด มองโอกาสสะสมหุ้นน้ำดีฟื้นตามเศรษฐกิจ CK ,SCCC, MTC, BJC , KBANK และหุ้นกำไร Q2 เด่น PTTGC BGRIM พร้อมแนะทยอยซื้อหุ้นกู้ ล็อกยีลด์ช่วงดอกเบี้ยสูง

สายงานวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 2 มีโอกาสผ่านพ้นจุดต่ำสุด และเริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุงเศรษฐกิจ อาทิ นโยบายการคลังที่เข้มข้นผ่านการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ภายในช่วงเวลาเพียง 5-6 เดือน ด้วยมูลค่า 3.48 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 9.3% รวมถึงมาตรการกระตุ้นต่างๆ ของภาครัฐ  ทั้งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท, ฟรีค่าธรรมเนียม VISA สำหรับนักท่องเที่ยว และการแจกเงิน Digital 10,000 บาท ในระยะถัดไป ความคาดหวังการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น

แม้ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ อาจจะคงไว้ 5.5% ยาวนานขึ้น หลังเงินเฟ้อสูงกว่าคาด  แต่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงน่าจะเริ่มเห็นได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ รวมถึงในเรื่องการสร้างความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของตลาดหุ้นไทยมาตรการในการกำกับดูแลตรวจสอบ Short Selling, Program Trading ที่คาดเริ่มมีผลบังคับใช้ช่วง 2Q67 หนุน Turnover ของ SET มีโอกาสกลับมาสูงกว่า 70% ต่อปี

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวเพิ่มว่า ในช่วงไตรมาส 2 ตลาดหุ้นไทยมีความน่าลงทุนมากขึ้น คือ 

1.มุมกำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 1Q67 ที่มีโอกาสเติบโต QoQ เด่น จากฐานกำไรงวด 4Q66 ที่ต่ำกว่าปกติ พร้อมกับมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหนุน หลังค่าเงินบาทอ่อนค่าแรงกว่า 7% ในช่วงไตรมาสที่ 1 ซึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่ามีสัดส่วน Market Cap กว่า 40% รวมถึงราคาน้ำมันดิบโลกปรับขึ้นแรงเกิน 15%QoQ หนุนให้เกิด Stock Gain ในหุ้น Commodity ที่มีสัดส่วนหลักในตลาด 
 

2.มุม Valuation SET จะเห็นแนวรับสำคัญทางพื้นฐานที่บริเวณ 1350 จุด โดย SET ที่ระดับ 1350 จุด มี PER67F ที่ 16.6 เท่า (-1SD ในรอบ 10 ปี) และเป็นระดับต่ำสุดรองจากช่วงวิกฤตโควิดปี 2563 ขณะที่ในเชิง PBV มีค่าที่ 1.31 เท่า (-2SD ในรอบ 10 ปี) อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่ส่วนต่างผลตอบแทนตราสารหนี้กับหุ้นกว้างมาก โดยมี MEYG ที่ 4.25% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต) หนุนให้เม็ดเงินมีโอกาสทยอยไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงในระยะถัดไป

กลยุทธ์การลงทุน ณ SET บริเวณ 1350 จุด มี Valuation ที่น่าสนใจ แนะนำหุ้นทยอยฟื้นตามเศรษฐกิจ CK SCCC MTC BJC KBANK, หุ้นกำไร 2Q67 เด่น PTTGC BGRIM 

ซื้อหุ้นกู้ล็อกยีลด์ช่วงดอกเบี้ยยังสูง

ด้านตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงไตรมาส 2 ลงไป คาด side-way down หวังได้อานิสงส์จากการเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติ แนะนำทยอยซื้อหุ้นกู้เก็บช่วงตลาดปรับตัวขึ้น

คุณลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง คาดว่าตลาดตราสารหนี้ในช่วงสามไตรมาสที่เหลือของปีนี้ คาดเคลื่อนไหวแบบ side-way down เนื่องจากการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 2.50% ในปัจจุบัน ลงไปอยู่ที่ 2.00-2.25% โดยล่าสุดตลาดคาดว่าแบงก์ชาติจะเริ่มลดดอกเบี้ยช่วงกลางปีลงไป  

ภายใต้สภาวะตลาดดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลง จึงแนะทยอยสะสมซื้อหุ้นกู้ในช่วงที่ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง และ ซื้อตามวัตถุประสงค์การลงทุน คือ ถ้าซื้อเพื่อลงทุนแบบถือจนครบกำหนด สามารถเลือกหุ้นกู้ที่มีอายุยาว หรือ หากลูกค้ารับความเสี่ยงได้มากขึ้น สามารถลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตไม่สูงมาก เพื่อได้ผลตอบแทนที่มากกว่า แต่ถ้าซื้อเพื่อทำกำไรแบบเร็วๆ หรือเพื่อ Trading ควรเลือกหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิต A- ขึ้นไป และ มีอายุไม่เกิน 3 ปี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่นักลงทุนสถาบันนิยมลงทุน  
 

ทยอยสะสมหุ้นสหรัฐช่วงตลาดย่อตัว S&P500 บริเวณ 4,750

นายบำรุงพงษ์ ชีวธนากรณ์กุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการลงทุน กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐส่งสัญญาณการปรับฐานนับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ดัชนี S&P500 ปรับตัวลงกว่า 5% จากแรงกดดันเรื่องความกังวลด้านนโยบายการเงินของสหรัฐที่อาจคงดอกเบี้ยได้นานกว่าคาด โดยปัจจุบันตลาดมองธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีนี้ในเดือนกันยายน จากช่วงต้นเดือนที่มองลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง

ทั้งนี้เมื่อนโยบายการเงินมีความเข้มงวดมากกว่าที่ตลาดประเมินไว้จึงส่งผลให้ดัชนี S&P500 ซึ่งซื้อขายที่valuation ระดับสูงเริ่มมีการปรับฐาน โดยปัจจุบันตลาดซื้อขาย Forward PE 20.5x และอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 0.5SD หากในปีนี้ ธนาคารกลางไม่มีการลดดอกเบี้ยอาจส่งผลให้ดัชนีกลับมาซื้อขายที่ค่าเฉลี่ยที่ 19.3x หรือเทียบเท่าดัชนี 4,750 จุด

โดยในอดีต ผลกระทบจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังมีผลกระทบจำกัดต่อราคาน้ำมันและตลาดหุ้นแต่อาจสร้างจิตวิทยาเชิงลบต่อการลงทุนได้เป็นระยะ ซึ่งแม้ว่าความความขัดแย้งจะได้ยกระดับมาเป็นปัญหาระหว่างอิสราเอล-อิหร่านโดยตรง แต่ปัจจุบันห่วงโซ่อุปทานด้านพลังงานยังไม่ได้รับผลกระทบกล่าวคือ ไม่มีปัญหาด้านการผลิตและการขนส่งน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ แต่อาจเป็นสัญญาณลบได้เมื่อมาพร้อมๆ กับการลดดอกเบี้ยในสหรัฐที่ยืดยาวออกไป

จึงแนะนำทยอยสะสมหุ้นสหรัฐในช่วงที่ตลาดย่อตัวโดย รอซื้อที่บริเวณดัชนี S&P500 ที่ 4,750 จุด ซึ่งเป็นแนวรับทางพื้นฐานหากธนาคารกลางไม่มีการลดดอกเบี้ย โดยระยะสั้นตลาดอาจเผชิญความผันผวนในช่วงฤดูกาลประกาศงบ ไตรมาส 1/67 (เม.ย. – พ.ค.) และความกังวลด้านนโยบายการเงินของสหรัฐที่อาจคงดอกเบี้ยได้นานกว่าคาด แต่ในระยะยาวนั้น ทางนักวิเคราะห์หลายๆ สำนัก ยังคงมีมุมมองเชิงบวกโดยคาดการณ์กำไรของดัชนี S&P500 จะเติบโตเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ ไตรมาส 2/67 เป็นต้นไป โดยกลยุทธ์การลงทุนเน้น Balance พอร์ตการระหว่างกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จาก AI และหุ้นกลุ่ม Non-tech ที่ผลประกอบการโดดเด่น

ขณะที่ตลาดหุ้นจีนนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ยังคงปรับตัวในกรอบแคบ โดยได้แรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด เช่น GDP ไตรมาส1/67 ขยายตัวถึง 5.3% YoY สูงกว่าคาดที่ 4.8% YoY และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 5.2% YoY ขณะเดียวกันตัวเลข Fixed asset investment เดือน มี.ค. ขยายตัว 4.5% สูงกว่าคาดที่ 4.0% และเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน สะท้อนว่าภาคเอกชนมีการลงทุนต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามตัวเลขยอดค้าปลีกกลับขยายตัวเพียง 3.1% ต่ำกว่าคาดที่ 5.1% บ่งชี้ถึงภาคการบริโภคในประเทศที่ชะลอตัวลง

นักลงทุนที่เน้นทำกำไรระยะสั้น สามารถเก็งกำไรได้บริเวณแนวรับดัชนี HSI index ที่ 16,200 – 16,000 จุด โดยเน้นหุ้นที่รายงานผลประกอบการออกมาดี และมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และพิจารณาขายที่แนวต้านบริเวณ 17,000 จุดขณะที่นักลงทุนระยะกลาง ยังคงแนะนำเลือกลงทุนผ่าน Structured Note เนื่องจากยังขาดปัจจัยหลายๆ ด้านที่จะทำให้ตลาดหุ้นกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง

สำหรับตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มส่งสัญญาณการปรับฐาน โดยได้รับแรงกดดันหลักจากค่าเงินดองที่อ่อนค่าซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางเวียดนามกลับมาควบคุมสภาพคล่องและควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนโดยการออกตราสารหนี้ระยะสั้นอีกครั้ง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร (overnight rate) ปรับตัวสูงขึ้นและอาจสร้างความกังวลต่อนโยบายการเงินเวียดนามที่อาจกลับมาเข้มงวดมากขึ้นในระยะถัดไป

ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยแนะนำขายทำกำไรในตลาดหุ้นเวียดนาม สำหรับนักเก็งกำไรเนื่องจากแรงกดดันด้านนโยบายการเงินดังกล่าว ประกอบกับการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยที่ใช้บัญชีมาร์จิ้นอาจก่อให้เกิดความผันผวนระยะสั้น และแนะนำติดตามกลับเข้าซื้ออีกครั้งเมื่อค่าเงินดองกลับมาแข็งค่า โดยฝ่ายวิจัยมองตลาดหุ้นเวียดนามมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาวจากภาคการส่งออกฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก ขณะที่ valuation ตลาดอยู่ที่ Forward PE 10.9x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 14.2x