การบริหารเศรษฐกิจแบบเพี้ยนๆ ของรัฐบาลเศรษฐา

21 ก.พ. 2567 | 01:20 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ก.พ. 2567 | 01:45 น.

การบริหารเศรษฐกิจแบบเพี้ยนๆ ของรัฐบาลเศรษฐา คอลัมน์บ้านเมือง ของเรา โดยสมหมาย ภาษี

ผ่านไปแล้ว 6 เดือน สําหรับการบริหารประเทศของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่มีนายกรัฐมนตรีพลเรือนชื่อเศรษฐา ทวีสิน 6 เดือนที่ยังไม่มีสิ่งดีใดๆ เป็นรูปธรรมให้เห็นในเรื่องเศรษฐกิจ ตรงกันข้ามกลับได้ยินแต่คนในรัฐบาลพูดยํ้าว่าประเทศยังตกอยู่ในภาวะวิกฤตอยู่รํ่าไป

คนไทยโดยทั่วไปทั้งที่สนใจและรู้เรื่องภาวะบ้านเมือง และทั้งที่ยังดิ้นรนในการหาเงินมาเลี้ยงตัวและครอบครัวไม่พอ แถมยังต้องทุรนทุรายกับหนี้ครัวเรือนที่สูงจะท่วมตัว ซึ่งถือว่าเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาเหล่านั้นต่างก็ไม่สามารถบอกตัวเองและสมาชิกในครอบครัวได้ว่า จะได้อะไรจากรัฐบาลมาทําให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้นมาได้ มันช่างน่าหดหู่เป็นอันมาก

แต่เมื่อดูให้ชัดๆ ว่ารัฐบาลนี้เขากําลังทําอะไรให้กับประชาชนคนไทยกันบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องการ บริหารเศรษฐกิจ ก็จะพบว่ามีแต่เรื่องเพี้ยนๆ ให้ได้ยินอยู่หลายเรื่อง

เรื่องแรก คือเรื่องนโยบายการแจกเงินดิจิทัล 500,000 ล้านบาท ของรัฐบาลที่มีเพื่อไทยเป็นพรรคแกนนํา เริ่มต้นวางแผนกันว่าจะแจกเงินดิจิทัลโดยใช้ระบบบล็อคเชน (Block chain) คือคิดสร้างเงินสกุลใหม่ ขึ้นมา แต่ถูกธนาคารแห่งประเทศไทยบล็อคเสียก่อนว่ารับแบบนี้ไม่ได้ และได้แนะว่าถ้าไม่แจกเงินธรรมดา ยังจะแจกเงินดิจิทัลอยู่ก็ให้ใช้ระบบเป๋าตังค์ (Wallet) เหมือนรัฐบาลก่อนใช้ในการแจกเงินช่วยเหลือคนจน หรือที่แจกให้คนไปใช้เงินท่องเที่ยวโดยผ่านระบบเป๋าตังค์ของธนาคารกรุงไทย

เจอเข้าแบบนี้คนต้นคิดของรัฐบาลก็คอตกเหตุเพราะอะไรคงไม่ต้องพูด แต่ที่จะใช้ระบบเป๋าตังค์โดย รัฐบาลต้องกู้เงินมาหนุนถึง 500,000 ล้านบาท เกือบเท่างบขาดดุลงบประมาณ 693,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2567 ทําให้ธนาคารชาติ หรือ ธปท. ต้องสะดุ้งและคิดทบทวนกันกว่าเจ็ดวันเจ็ดคืน ก็สรุปออกมา ว่าไม่จําเป็น จะก่อผลเสียมากกว่าผลดี ซึ่งมีนักวิชาการอีกมากก็ให้ความเห็นที่เป็นลบ แม้กระทั่ง ปปช. ก็อุตส่าห์ ลงมาดูกับเขาด้วย แล้วก็ให้ความเห็นที่ทําให้รัฐบาลนี้ขยับไม่ออก คงทําได้อย่างเดียวแบบที่รัฐบาลไทยทุกรัฐบาล เขานิยมใช้กัน คือ ตั้งคณะอนุกรรมการชุดแล้วชุดเล่าไปดูไม่รู้จบ

แต่เรื่องนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่จะเก็บเข้าตู้เย็นง่ายๆ นะครับ เพราะผู้คนทั้งที่มีความรู้และไม่รู้เรื่องต่างก็สนใจกันมาก คงจะจบเฉยๆ โดยไม่ต้องเสียต้นทุนคงจะยากเสียแล้ว

เรื่องที่สอง คือเรื่องการกดดันให้ ธปท. ลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งท่านนายกทั้งในสถานะรัฐมนตรีคลังด้วย ได้ใช้ความพยายามอย่างมากผลักดันให้ท่านผู้ว่า ธปท. ลดดอกเบี้ย ซึ่งจริงๆการพิจารณาเรื่องดอกเบี้ยของ ธปท. ไม่ใช่ผู้ว่าการจะพิจารณาได้คนเดียว มันจะต้องผ่านคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีกรรมการ 7 ท่าน และจะมีการพิจารณาตามระยะเวลาการประชุมที่ชัดเจนปีละ 6 ครั้ง นี่คือกฎเกณฑ์ที่นักธุรกิจ นักลงทุนและนักการเมืองทั้งในประเทศและนอกประเทศเขารู้กันทั่ว

แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ท่านนายกก็ออกมาให้ความเห็นอีกว่าลดสัก 0.25% ได้ก็จะดี ล่าสุดถึงกับเรียกร้องให้กําหนดวันประชุม กนง. เป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีท่านเลขาธิการสภาพัฒน์ได้ออกความเห็นเข้าข้างท่านนายกว่า GDP ไทยไม่โตดังที่คิด ตรงกันข้ามกลับตํ่ากว่าที่เคยตั้งเป้าหมายไว้อีก ท่านก็บอกว่า ถ้า ธปท. จะช่วยลดดอกเบี้ยลงก็คงจะช่วยเศรษฐกิจให้โตขึ้นได้

นี่ก็เป็นเรื่องเพี้ยนทางเศรษฐกิจที่ขําไม่ออกเสียจริงๆ ประเทศนี้ทั้งนักการเมืองและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ไม่รู้เรื่องดอกเบี้ยแล้วยังกระเสือกกระสนมาให้ความเห็นต่อประชาชน ท่านไม่รู้เลยหรือว่าการกําหนดอัตรา ดอกเบี้ยทางการของประเทศที่มีระบบการเงินเกี่ยวพันกับนานาประเทศมากถึงขนาดเงินบาทนั้นเป็นที่ยอมรับ กว้างขวางสามารถถือไปชําระค่าสินค้าได้ในหลายประเทศทั่วโลกนั้น ธนาคารกลางได้วางแนวปฏิบัติที่เป็นเรื่อง เป็นราวไว้ดี เวลาจะขึ้นหรือจะลดดอกเบี้ยไม่มีประเทศไหนมาชี้แนะหรือก้าวก่ายได้ แต่ธนาคารชาติเขาต้องดูเวลาที่เหมาะสม

การปรับดอกเบี้ยทางการของประเทศที่พัฒนาแล้วและกําลังพัฒนาจะปรับกันเป็นขาขึ้นและขาลงไม่ใช่ถูกกดดันแล้วจะปรับลดลงสัก 0.25% เพื่อเอาใจนักการเมือง แล้วอีก 2 เดือนค่อยปรับขึ้นกันใหม่ เขาไม่ทํากันแบบนี้ครับ อย่าลืมนะครับว่าสิ่งเพี้ยนๆ ที่ผู้ใหญ่ของเราพูดกันนั้น มันออกเป็นข่าวให้นักลงทุนในต่างประเทศเขาได้ยินกันหมดแล้ว ผลกระทบในเชิงลบต่อตลาดหลักทรัพย์ของไทยก็เกิดขึ้น อย่าไปโทษแต่ กลต. แต่ผู้เดียว

เรื่องที่สาม คือเรื่องรัฐบาลไม่สนใจการใช้จ่ายเงินงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คงจํากันได้ว่า ประเทศต้องสูญเสียเวลานานร่วมครึ่งปีในการสรรหาแล้วแต่งตั้งคณะรัฐบาลมาบริหารประเทศ จนเกิดภาวะสูญญากาศในการจัดทํางบประมาณประจําปี 2566/67 หรืองบปี 67 ดังนั้น แทนที่งบปี 67 จะออกมาและมีผลในการบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2566 ตามปฏิทินงบประมาณ ปรากฎว่าถึงขณะนี้ผ่านมาจะครบ 5 เดือนแล้ว งบประมาณซึ่งเป็นหัวใจสําคัญในการบริหารประเทศยังอยู่ในขั้นแปรญัตติในสภาผู้แทนราษฎรและในรัฐสภาควบคู่กันไป คาดว่าจะออกมาใช้ได้ไม่เร็วกว่าเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะทับซ้อนกับการเตรียมงบประมาณใหม่ปี 2568

พูดให้คนของประเทศอื่นฟัง เขาคงต้องงงกับกระบวนการบริหารเศรษฐกิจแบบไทยๆ เราแน่ ถ้ารู้ว่างบ 67 ปีนี้ จะล่าช้าอย่างน้อย 8 เดือน หรือสองในสามของปี จากจํานวนงบประมาณ 3.48 ล้านล้านบาท ที่เป็นงบประจํา เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่านํ้า ค่าไฟ ค่าวัสดุ ก็ยังคงเบิกใช้ไปพลางก่อนได้ แต่งบลงทุนจํานวนถึง 717,000 ล้านบาท ไม่สามารถเบิกใช้ได้เลย อย่างดีที่ได้ยินท่านรัฐมนตรีหลายท่านพูดถึงโครงการต่างๆ มากมายในตอนนี้ แต่ก็เป็นเพียงลมปากเท่านั้น

ทําให้การคลังของประเทศทุกวันนี้มีเงินคงคลังสูงมาก ธนาคารก็มีสภาพคล่องล้นมาก และเงินทุนสํารองระหว่างประเทศก็สูงมากติดอันดับ 14-15 ของโลก แต่ประชาชนยังยากจนเหมือนเดิม เศรษฐกิจก็ถูกนักการเมือง หาว่าวิกฤต ทั้งที่ GDP โตร่วม 2% เพราะการท่องเที่ยวช่วยไว้ ถือว่าเพี้ยนแล้วแต่ยังพออยู่ได้

แต่ในสภาพที่ประเทศมีเงินเหลือเฟือแบบนี้ ยังมีข่าวเล็ดลอดมาให้ได้ยินว่ากระทรวงการคลัง กําลังถูกสั่งให้หาโครงการเพื่อนําไปขอกู้เงินจากต่างประเทศมาใช้สักหนึ่งพันล้านเหรียญดอลลาร์ นี่มันจะเพี้ยนไปถึงไหนกันครับ