ธุรกิจของตระกูลปังศรีวงศ์ จากจุดเริ่มต้นในธุรกิจขายยา ที่รู้จักกันดีอย่าง “บี.เอ็ล.ฮั้ว” ซึ่งดำเนินธุรกิจมาครบ 100 ปีแล้ว ยังได้มีธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์ เคป แอนด์ แคนทารี ซึ่งเป็นการดำเนินงานโดยบริษํท “เกษมกิจ” มาเกือบ 60 ปีแล้ว
ปัจจุบันมีโรงแรมในเครือที่เป็นทั้งเจ้าของและผู้บริหารรวม 24 แห่ง ภายใต้การบริหารงานที่ถูกส่งไม้ต่อมายังทายาทรุ่น 3 “พงศ์วรุตม์ ปังศรีวงศ์” เพื่อช่วยพี่สาว “ธีรวัลคุ์ เตชะอุบล” หรือคุณแวว ที่เป็นหัวเรือหลักในการบริหารและสร้างวางรากฐานให้เคปแอนด์แคนทารี เป็นที่รู้จักมาอย่างยาวนาน
ด้วยความที่ พงศ์วรุตม์ ปังศรีวงศ์ หรือ คุณไผ่ จบการศึกษาด้านรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จาก Princeton University ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงถูกวางตัวให้เข้ามาช่วยบริหารธุรกิจโรงแรม
โดยก่อนคุณไผ่ ได้เข้ามาช่วยบริหารธุรกิจโรงแรมเต็มตัวในช่วงปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดโควิด-19 โดยดูแลทุกพร็อพเพอร์ตี้ในเครือ ทำทุกอย่างที่คุณพ่อ (ธีระพงศ์ ปังศรีวงศ์) ให้ทำ ทั้งอาหารและเครื่องดื่มหรือ F&B (Food and Beverage Service) งาน Operation งานจัดซื้อ ฯลฯ เข้ามาก็เจอวิกฤตโควิด-19
คุณไผ่ยอมรับว่าเป็นช่วงที่ธุรกิจเหนื่อยมาก ๆ ได้เข้ามาช่วยดูแลในเรื่องของการลดค่าใช้จ่าย เพราะธุรกิจเวลานั้นต้องลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น อะไรขายได้ก็ขายออกไปก่อน รวมถึงเรื่องอื่น ๆ เช่น เจรจากับประกันสังคม เรื่องภาษี ฯลฯ จนนำธุรกิจผ่านพ้นมาได้
ก่อนที่คุณไผ่จะเข้ามาดูธุรกิจโรงแรม เขาเคยทำงานในบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ในตำแหน่ง Business Strategy Analyst ซึ่งก็เป็นไปตามความสนิทสนมกันระหว่างคุณพ่อ กับคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี
“ผมทำงานให้พี่หนุ่ม (ฐาปน สิริวัฒนภักดี) ตอนนั้นก็เป็นพนักงานปกติ ตอนนั้นเราต้องมีความละเอียดของดีเทลเล็กๆของเอกสารที่หลากหลาย มีสกิล เพราะเกี่ยวกับ management report ที่ต้องรายงานตรงกับบอส แต่พอเรามาอยู่ในฐานะของผู้บริหารที่เข้ามาสานต่อธุรกิจของครอบครัว ผมรู้สึกว่ามี 2 เรื่องสําคัญที่สุดในการนำพาองค์กรให้เติบโต คือ 1.ต้องมีวิสัยทัศน์ มีไอเดีย และ 2.ต้องใช้คนเป็น”
สำหรับทิศทางการบริหารภายใต้การบริหารที่จะเกิดขึ้น “พงศ์วรุตม์” เล่าว่า ส่วนตัวมีวิชั่นอยากขยายธุรกิจในตลาดอีกรูปแบบหนึ่ง ผมรู้สึกว่ารายได้ที่ดี มาจาก luxury product การทำโรงแรมเล็กๆในแบบลักชัวรี จะได้ average daily rate ที่ดี และบริหารได้ง่าย จึงเป็นแนวทางที่ผมจะ focus มากขึ้น
ซึ่งอาจจะเป็นบูทีค รีสอร์ท ระดับไฮเอนด์ และผมมองว่าประเทศไทย tourism เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ต่างจากหลายประเทศที่มีปัญหา อย่าง การเมือง หรือปัญหาต่างๆคนมาเที่ยวเมืองไทยเยอะขึ้น ผมค่อนข้างมั่นใจว่า hospital industry ของประเทศไทยจะเติบโตดี”
ส่วนโรงแรมที่เป็นแบรนด์ “แคนทารี” และ “คามิโอ” ที่มีอยู่แล้วก็ยังต้องบริหารต่อไป เพราะเป็น business hotel ส่วนใหญ่มีผู้บริหารและพนักงานจากนิคมอุตสาหกรรมต่างๆมาเข้าพัก ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น อินเดีย จีน เป็นธุรกิจโรงแรมที่มีรายได้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีโลว์ซีซั่น และค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจโรงแรมก็ไม่สูง จึงเป็นรายได้ที่มั่นคง
ปัจจุบันถ้าเทียบพอร์ตระหว่างโรงแรมระดับลักชัวรี ภายใต้แบรนด์ เคป และ โรงแรมระดับกลางที่เป็น business hotel อย่างแคนทารี และคามิโอ จะอยู่ที่ 40 : 60 แม้ว่าพอร์ตโรงแรมระดับลักชัวรีจะมีอยู่ 5 โรงแรม แต่การทำรายได้ของโรงแรมระดับลักชัวรีจะสูงกว่า เพราะไม่ใช่แค่รายได้จากการขายห้องพัก แต่ยังมีเรื่องของเอฟแอนด์บี
โดยใน 5 โรงแรมลักชัวรี มี 2 โรงแรมที่ได้รับรางวัล Small & Luxury ของโลกด้วย ดังนั้นจุดโฟกัสของคุณไผ่ คือ luxury ที่เป็นบูทีค รีสอร์ท จะทำให้ช่วยขยายพอร์ตโรงแรมลักชัวรี ในระยะยาวให้มีสัดส่วนเพิ่มจาก 40% เป็น 50 % เพื่อบาลานซ์พอร์ตของธุรกิจ การขยายเซ็กเม้นท์ลักชัวรี เราทำได้ดี เพราะอย่างวันนี้ เสน่ห์ของแบรนด์เคป ความเป็นตัวตนของคุณแวว (พี่สาว)มีการดีไซน์ไม่เหมือนเชน มีความบูทีค ประกอบกับโลเคชั่นที่ดี พิสูญจน์แล้วว่าไปได้ดี
คุณไผ่ ยังมองว่า “ในตลาดลักชัวรี เรามีจุดแข็งสู้กับเชนโรงแรมได้ เพราะสิ่งที่คนต่างชาติต้องการ คือ experience ใหม่ มีความเป็น local ที่ไม่ใช่เชนโรงแรม ที่จะรู้สึกว่าไม่ว่าจะเช็คอินที่กรุงเทพ ภูเก็ต นิวยอร์กแล้วก็เหมือนกันหมด
แต่ของเราคือความแตกต่างมีความโลคัล น่ารัก คือ จุดขาย เรามองเป็นจุดแข็งไม่ได้มองเป็นจุดอ่อน และทุกโครงการที่ลงทุนเราเป็นเจ้าของเอง และบริหารเองทั้งหมด 100% อาจจะเป็นรูปแบบที่ทำให้การขยายงานช้าแต่มองว่าเป็นรูปแบบที่มีความมั่นคงสูง เพราะมีอำนาจในการบริหารจัดการทุกอย่าง”
สำหรับแผนการลงทุนใหม่ที่จะเกิดขึ้น นอกจากการขยายของลงทุนลักชัวรี บูติก รีสอร์ทในแบบที่เป็นจุดโฟกัสของตัวเองแล้ว ในเร็วๆนี้ก็อาจจะมีการลงโรงแรมขนาดเล็ก เช่น ลงทุน 30 ห้อง ที่เกาะสีชัง (ชลบุรี) และยังมีโครงการใหญ่ที่อยู่ในแผนลงทุน คือ โรงแรมที่พัทยา บนพื้นที่ 15 ไร่ (ติดกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล)
ซึ่งตามแผนที่วางไว้นั้นในพื้นที่นี้จะมีโรงแรม 2 แห่ง เป็นแบรนด์ “เคป” 1 แห่งอยู่บริเวณด้านหน้า และแบรนด์ “แคนทารี” 1 แห่ง เป็นโรงแรมใหญ่ตั้งอยู่ด้านหลัง ซึ่งจะเป็นการลงทุนของเกษมกิจเอง และจะมีบีชคลับ และศูนย์การค้า ที่เจรจาหาคนมาลงทุน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการยื่นขอการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA โครงการดังกล่าวนี้เป็นการลงทุนขนาดใหญ่ 4,000-5,000 ล้านบาท จึงต้องค่อย ๆ คิด ไม่รีบมาก
ไม่เพียงแต่ธุรกิจโรงแรม คุณไผ่ ยังได้เข้ามาดูแลธุรกิจ “จอห์น เกรย์ ซี แคนนู” บริษัททัวร์แห่งแรกที่ทำทัวร์เข้าถ้ำอ่าวพังงา และเน้นการอนุรักษ์ธรรมชาติ ซึ่งเป็นรายการทัวร์ทัวร์ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติรู้จักกันเป็นอย่างดี
ดังนั้นคุณไผ่ จึงพยายามที่จะรักษาค่านิยมของคุณจอห์น คือเรื่องรักษ์โลก และดีกับพนักงาน รวมไปถึงการขยายฐานลูกค้าคนไทย ให้เข้ามาเที่ยวชมความสวยงามของถ้ำต่างๆในเกาะพังงา รวมถึงพัฒนาโปรดักซ์ในการขายใหม่ๆที่ตอบโจทย์ความสนุกสนาน ในพื้นที่อื่นๆ อย่างอ่าวไทย เป็นต้น ทั้งหมดล้วนเป็นมุมมองการบริหารงานภายใต้เจน 3 ที่จะเกิดขึ้น
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,050 วันที่ 5 - 7 ธันวาคม พ.ศ. 2567