ผู้บริหารหัวนอก... กับดักคิดในกรอบ

16 ก.ค. 2564 | 01:43 น.

ผู้บริหารหัวนอก... กับดักคิดในกรอบ : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3697 หน้า 13 ระหว่างวันที่ 18-21 ก.ค.2564 By... เจ๊เมาธ์

*** ไวรัสสายพันธุ์ดุ เดลต้า มาแรงแซงทุกพันธุ์ ระบาดไปแล้วทั่วโลกกว่า 111 ประเทศ ...แม้ผลพิสูจน์ พบผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนยังมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นการฉีดวัคซีนยี่ห้อใดก็ตาม เพียงแต่การได้รับวัคซีน ช่วยลดความรุนแรง จากหนัก เป็นเบาได้ แต่ไม่สามารถกัน (ติด) หมู่ได้ นั่งกดหุ้นอยู่บ้าน ปลอดภัยดีที่สุด  
 

ช่วงเวลา 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังไม่มีทีท่าจะลดน้อยลงแต่อย่างใด ดังนั้น สิ่งที่สามารถทำได้ก็เป็นแค่เพียงการดูแลตัวเองด้วยการไม่เข้าไปยังพื้นที่เสี่ยงที่จะรับเชื้อมาจากคนอื่น และไม่เสี่ยงที่จะเอาเชื้อไปแพร่กระจายให้กับคนอื่นในกรณีที่เราอาจติดเชื้อมาโดยที่ไม่รู้ตัว  
 

ส่วนเรื่องการฉีดวัคซีนถ้ามีโอกาสก็ฉีดไปเลยไม่ต้องมาสนใจ ว่าจะเป็นยี่ห้ออะไร อย่างน้อยที่สุดในเวลาอากาศหนาว ๆ แม้เราจะมีแค่ผ้าห่มผืนบาง แต่มันก็ยังดีกว่าการที่ไม่มีผ้าห่มอยู่แล้วค่ะ 
 

*** ไหน ๆ ก็พูดถึง เดลต้าแล้ว เจ๊เมาธ์ วกกลับมาที่หุ้นแสบ DELTA ซะหน่อย  แหม่!!! พ่อคู๊น หลุดแคชฯ บาลานซ์ ออกมาวันแรกนี่ ซ่าสสส์ สุดขีดเชียวล่ะ  ระหว่างวันบวกกว่า 100 บาท ลากเอาดัชนีหุ้นไทยขึ้นมาได้พร้อมกันด้วยเช่นเดิม
 

เอาหละ...ถ้าจะมองในแง่ดี การปล่อยให้ DELTA รับภาระแบกดัชนีหุ้น รวมถึงมูลค่าของตลาดหลักทรัพย์ไทยให้ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้เกี่ยวข้องกับการควบคุมกลไกตลาดฯ ได้หน้าไปตามๆ กัน  เพียงแค่หลับตาสักข้างปล่อยให้ฟองสบู่หุ้นสักฟอง มันลากหรือมันบวมขึ้นมาบ้าง ก็ไม่น่าจะส่งผลเสียอะไร หรือไม่ก็อาจจะคิดเลยเถิดไปจนถึงกับคิดว่า “การไม่ทำอะไร” ช่วยให้ดัชนีหุ้นไทยวิ่งแรงไปโน้นเลยเชียวมั๊งค่ะ  
 

โธ่ๆๆ ถ้ายังจำกันได้ เมื่อครั้งแรกที่ราคาหุ้นของ DELTA ถูกไล่ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดที่ 838 บาท ตอนนั้นเจ๊เมาธ์จำได้ว่า เหมือนจะมีใครสักคนบอกว่า ต้องจัดการตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฟองสบู่ตลาดหุ้น ที่เกิดจากภาพลวงของหุ้นฟรีโฟลตต่ำเหล่านี้ว่างั้น แต่หลังจากนั้นผ่านไปไม่กี่เดือน ออกมาบอกว่าต้องชะลอเรื่องการจัดการหุ้นฟรีโฟลตออกไป  
 

เอาจริงๆ เจ๊เมาธ์ อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ที่ต้องเลื่อนทุกอย่างออกไป เพราะอยากทำเพื่อตลาดหุ้นไทย หรือว่าจริง ๆ แล้ว คิดหาทางออกไม่ได้ จนถึงไม่มีปัญญาทำอะไรกันแน่นะ เจ๊เมาธ์ก็เพียงแค่ถามขำๆ ให้ได้ลองคิดตามเท่านั้นเองเจ้าค่ะ

*** กระแสการ Work from Home ที่กลับมาทำให้หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีกลับมาเป็นที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ขายสินค้า เช่น SYNEX COM7 JMART กลุ่มผู้ให้บริการระบบเช่น PROEN ITEL INET INSET ต่างก็ได้รับความสนใจจนราคาหุ้นขยับขึ้นมาแรงแล้วแทบทุกตัว ซึ่งเจ๊เมาธ์ก็อยากจะบอกว่าการเข้าไปจับหุ้นกลุ่ม “ตามกระแส” และหุ้นที่ “คาดหวังว่าจะดี” หรือที่เรียกรวมว่าหุ้น “วัฏจักร” มีความเสี่ยงอยู่พอสมควร เนื่องจากหุ้นหลายตัวถูกไล่ราคาจนสูงกว่าพื้นฐานในขณะที่บางตัวก็ยังไม่เห็นทิศทางการฟื้นตัวที่เป็นรูปธรรมอย่างที่ควรจะเป็น 
 

ดังนั้นเรื่องของการเป็นหุ้นกลุ่ม “พื้นฐาน” และมีผลการดำเนินงานที่ดีจึงเป็นอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ อย่างน้อยเวลาที่กระแสมันจางหรือซาลงไปโอกาสที่หุ้นกลุ่มพื้นฐานจะทำให้เจ็บตัวน้อยกว่ามันก็มีมากกว่าเช่นเดียวกันค่ะ
 

*** นับตั้งแต่ BEC ได้ “นักเล่าข่าวหน้าจอ” กลับมานั่งโต๊ะเล่าข่าวทุกเช้า จนทำให้ทุกอย่างเดินไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ถ้ามองลึกลงไปบ้าง พบว่า ไม่ใช่เพียงแค่นักเล่าข่าวหน้าจอเท่านั้น ก่อนหน้านี้ BEC ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้วยการดึงเอา “อริยะ พนมยงค์” จาก Line เข้ามานั่งในตำแหน่งตำแหน่งผู้บริหาร รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นด้วยการที่สามสาว “มาลีนนท์” (รัตนา นิภา และ อัมพร) ได้ขยับขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ต่อจากประชุม มาลีนนท์ จริง ๆ แล้วเจ๊เมาธ์ก็ไม่แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่ว่ามา เรื่องใดจะมีน้ำหนักทำให้ BEC กลับมา หรือว่าจะไปอีกไกลแค่ไหน เพราะนอกจากเรื่องเดิมที่บริษัทเป็นของคนนามสกุล “มาลีนนท์” นอกจากนั้นทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ หรือไม่ในอนาคตอาจจะมีใครสักคนย้ายออกไป อะไรทำนองนั้นหละค่ะ
 

*** เห็นราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารอย่าง KBANK SCB BBL TTB ปรับตัวขึ้นมา อย่าพึ่งไปคิดว่าทุกอย่างที่เคยรับรู้มาว่า จะสร้างปัญหาให้กับหุ้นกลุ่มนี้หายไป เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคาดหมายผลการดำเนินงาน 2/64 อาจจะตกต่ำลง หรือ เรื่องของหนี้เสียและการกันสำรองที่อาจจะสูงขึ้น และยังรวมไปถึงอนาคตที่ไม่ค่อยจะดีเรื่องรายได้จากดอกเบี้ยและการพักชำระหนี้ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ทุกอย่างที่ว่ามายังเป็นความเสี่ยงของหุ้นกลุ่มธนาคารเหมือนเดิม ส่วนที่ทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้น ก็ได้แค่ว่า เป็นแค่เรื่องการรีบาว์ดทางเทคนิคเท่านั้น อย่าไปคาดหวังมาก ทุกอย่างเหมือนเดิม...ตอนนี้อย่างอื่นยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 

*** เจ๊เมาธ์ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ผู้บริหารตลาด คิดยังไง และคิดได้อย่างไรกัน ที่จับใบสำคัญแสดงสิทธิ์ หรือเรียกติดปากกันว่า วอร์แรนต์ ซึ่งไม่เคยเข้าซื้อขาย ไม่มีประวัติการเก็งกำไร  สั่งแขวนแคชบาลานซ์วันแรกตั้งแต่เข้าตลาด  ด้วยเหตุผลว่า หุ้นแม่ ถูกขังในแคชบาลานซ์ ทายาท ก็ต้องติดด้วย ... 
 

ถามว่าจำเป็นด้วยเหรอ ที่แม่ติดคุก (แคชบาลานซ์ ) แล้วลูกต้องติด ...เฮ้ย !!! คุณคิดผิดน่ะ ชีวิตจริงๆ มีให้เห็น แม่รับโทษในเรือนจำ (ติดคุก ) ลูกที่เกิดในคุก ไม่มีความผิดด้วย เด็กถูกนำมาเลี้ยงนอกคุก  
 

การจับวอร์แรนต์ ขังแคชบาลานซ์ ตั้งแต่วันแรก เป็นการจำกัดสิทธิของนักลงทุน ...อ่อเจ๊เมาธ์ลืมไปว่า ตลาดยุคนี้ ไม่ใช่ยุคเสรี แต่เป็นยุคของผู้บริหารมากด้วยความสามารถระดับท่าน DR. อยู่แต่ในกรอบสี่เหลี่ยม ...คริคริ