ชื่อของ คุณประยุทธ มหากิจศิริ มหาเศรษฐี อันดับ 15 ของประเทศไทยนักธุรกิจชื่อดัง เจ้าของอาณาจักรโรงงานผลิตและจำหน่ายเนสกาแฟ และ ธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย กลับมาได้รับความสนใจจากสาธารณชนอีกครั้ง ภายหลังปรากฏข่าวจากสื่อมวลชนว่า ตกเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาที่ถูก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดในฐานะผู้บริหารบริษัทเอกชน ในข้อหาฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด ในการรังวัดออกโฉนดที่ดินรุกล้ำที่ป่าสงวนและเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) โดยมิชอบ กรณีการก่อสร้างสนามกอล์ฟ เมาน์เทน ครีก กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ เรสซิเดนซ์ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา
พลันที่ปรากฏข่าวนี้(29 ก.ค.64) ทุกสำนัก อ้างเพียงรายงานจากแหล่งข่าวจากกรรมการ ป.ป.ช. ว่ามีมติชี้มูลความผิด คุณประยุทธ มหากิจศิริ แต่ยังไม่ปรากฏมีการแถลงใดๆ จาก เลขาธิการ ป.ป.ช.ในฐานะโฆษกแต่อย่างใด ที่สำคัญรายงานข่าวจากสื่อบางสำนัก พาดหัวไปว่า "ประยุทธ ยึดที่หลวงมาสร้างสนามกอล์ฟ" ทำให้ผู้ติดตามอ่านข่าวพลอยเข้าใจไปว่า สนามกอล์ฟแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นบนที่ดินที่ยึดเอาป่าเขาที่ดินป่าสงวน หรือที่หวงห้ามตามกฎหมาย มาทำสนามกอล์ฟ เป็นการรุกล้ำทำลายทรัพยากรของแผ่นดิน ผู้ที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงและรายละเอียดของเรื่องนี้ว่า มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร อ่านแต่เพียงพาดหัวข่าว ย่อมเข้าใจผิดได้ และอาจมองผู้ที่ถูกพาดพิงถูกกล่าวหา เป็นผู้ร้ายในสายตาของผู้คนในสังคม ในทำนองเดียวกับนักการเมือง หรือนักธุรกิจ ผู้มีอิทธิพล ที่บุกรุกยึดที่ดินในเขตสงวน ในป่าเขา มาออกเอกสารสิทธิ์ โดยมิชอบเช่นเดียวกับกรณีคดีอื่นๆ ได้
การทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. หากเป็นจริงตามข่าว เป็นสิ่งที่ต้องให้ความเคารพการทำหน้าที่ของท่าน แม้จะยังไม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เมื่อปรากฏเป็นข่าว และอาจทำให้สังคมเข้าใจผิดในข้อเท็จจริง ผู้เขียนในฐานะทนายความในคดีดังกล่าว จึงมีความจำเป็นต้องตอบคำถามสื่อมวลชนและให้ข้อเท็จจริงกับสังคม ดังที่ปรากฎข่าวในสื่อทุกสำนักแล้ว
เพียงแต่ขอย้ำสั้นๆ อีกครั้งว่า ที่ดินทั้งหมดของสนามกอล์ฟฯ มีจำนวนประมาณ 2,300 ไร่ มีเอกสารสิทธิ์โดยถูกต้องตามกฎหมายอยู่ก่อนแล้วหลายสิบปี โดยเป็นโฉนดทั้งหมดทุกแปลง มี น.ส.3 ก เพียงหนึ่งแปลง ผู้ซื้อคือบริษัท ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส จำกัด (มหาชน) ซื้อต่อมาจากบริษัทเอกชน ที่ซื้อมาจากบริษัท บริหารสินทรัพย์ สุขุมวิท แล้วค่อยนำมาพัฒนาเพื่อสร้างเป็นสนามกอล์ฟเมาเท่นครีก และรีสอทร์ทฯ ตามข่าว
เมื่อมีการนำที่ดินที่มีโฉนด และ นส.3 ก อยู่แล้วมารังวัด สอบเขต หรือแบ่งแยกในนามที่ดินเดิม นี่แหละที่มีการกล่าวหาว่า ที่ดินบางแปลงมีการรังวัดกินเข้าไปในเขตป่าสงวนหรือเขตปฏิรูปที่ดิน ซึ่งมีจำนวนไม่กี่สิบไร่จากทั้งหมด 2,300ไร่ และส่วนที่กล่าวหาว่าเกินมานั้น ก็มิได้อยู่ในสนามกอล์ฟแต่อยู่ตามแนวชายขอบของที่ดิน และการรังวัดดังกล่าวก็ เป็นการดำเนินการโดยเจ้าพนักงานที่ดิน และช่างฝ่ายรังวัด ตามระเบียบและกฎหมาย โดยมีเจ้าของที่ดินเดิม เจ้าของที่ดินข้างเคียง นายอำเภอ กำนันผู้ใหญ่บ้าน อบต. อบจ.เจ้าหน้าที่ป่าไม้และเจ้าหน้าที่ปฏิรูปที่ดิน ผู้เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานมาระวังชี้และรับรองแนวเขตโดยถูกต้องทุกแปลง บริษัท และคุณประยุทธ มิได้เข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แต่อย่างใด
เรื่องดังกล่าว มีการดำเนินการตั้งแต่ปี 2551-2552 บริษัท ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินโดยชอบตลอดมา มีการร้องเรียนและมีการตรวจสอบเรื่องนี้เมื่อปี 2554 โดยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ดีเอสไอ กรมที่ดินและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) จนมีข้อยุติแล้ว จึงตกมาถึงการตรวจสอบโดย ป.ป.ช.และมาปรากฏเป็นข่าวดังกล่าว รวมเวลาถึงปัจจุบันเป็นเวลาถึง 15 ปี
เรื่องที่ควรจะจบไปแล้วก็ยังมีคนพยายามขุดคุ้ย เพื่อให้เป็นคดีให้จงได้นี้ ถือว่าเป็น “วิบากกรรมของมหาเศรษฐี” เพราะชื่อ ประยุทธ มหากิจศิริ ที่เผอิญมีภาพลักษณ์ในหลากหลายมิติ ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง บุคคลในสังคมชั้นสูง เจ้าของกิจการมากมาย จึงกลายเป็นบุคคลที่ถูกโฟกัสและจับตามองในทุกความเคลื่อนไหว อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากทุกกลุ่มอำนาจทางการเมือง แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจความจริงและความขมขื่นของมหาเศรษฐีท่านนี้ว่า เขามีความหลังฝังใจอันเจ็บปวดเพียงใดจากการเมือง
ท่านใดอยากรู้โปรดกลับไปอ่านบทความใน คอลัมน์ข้าพระบาททาสประชาชน ระหว่างวันที่ 23-25 เม.ย.63 เรื่อง "มหาเศรษฐีกับนายกรัฐมนตรี (1)" และตอนจบ วันที่ 30 เม.ย.-2 พ.ค.63 ของหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ก็จะทำให้ท่านได้เข้าใจยิ่งขึ้น คนที่เข้าใจว่ามหาเศรษฐีท่านนี้ เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้ใครต่อใคร เป็นฐานสนับสนุนใครหรือไม่ในทางการเมือง จะได้เข้าใจเสียทีว่าความจริงเป็นเช่นไร
มีคนถามมามากว่า ผมรู้จักและมาทำงานกับ คุณประยุทธ มหากิจศิริ ได้อย่างไร เพราะมีคนเข้าใจว่าผมกับท่านเป็นคนต่างขั้ว ซึ่งคนที่รู้จักผู้อื่นแต่เพียงเปลือกนอก หรือ เสพข่าวแต่เพียงผิวเผิน มิรู้ตื้นลึกหนาบาง ย่อมคิดและเข้าใจเช่นนั้นได้ ไม่ผิดหรอกที่ท่านจะเข้าใจอย่างนั้น
ผมรู้จักคุณประยุทธ มาไม่น้อยกว่า 20 ปี เมื่อครั้งที่ผมเคยทำงานเป็นฝ่ายกฎหมายให้กับ บริษัท หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด ที่มี คุณวารินทร์ พูนศิริวงศ์ เป็นประธาน คุณประยุทธ และ คุณวารินทร์ มีความสนิทสนมกัน ทั้งสองท่านต่างมีธุรกิจสนามกอล์ฟ และมีความตั้งใจจะจัดตั้งสมาคมเจ้าของสนามกอล์ฟขึ้น เพื่อรวบรวมบรรดาเจ้าของธุรกิจนี้ให้เป็นปึกแผ่น ทำกิจกรรมที่เป็นโยชน์ต่อธุรกิจร่วมกันและต่อสังคม
ผมจึงดำเนินการทางกฎหมาย ยื่นเรื่องจดทะเบียนสมาคมสนามกอล์ฟไทย ร่วมกับพี่ บันฑูร ชุณหสวัสดิกุล โดยมี คุณวารินทร์ พูนศิริวงศ์ เป็นนายกสมาคมคนแรก คุณประยุทธ มหากิจศิริ และ ดร.พรสิทธิ์ ศรีอรทัย เป็นรองนายกสมาคม คุณบัณฑูร เป็นเลขาธิการสมาคม นับแต่นั้นเป็ต้นมา ผมจึงมีความรู้จักคุ้นเคย และสนิทสนมกับบรรดานักธุรกิจสำคัญๆ อีกหลายท่าน และสมาคมก็เป็นผู้ริเริ่มทำโครงการ "วันกอล์ฟรักในหลวง" นำรายได้จากกิจกรรมวันดังกล่าวจากทุกสนามกอล์ฟ มอบบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลในทุกๆ ปีของวันพ่อ 5 ธันวาคม
กล่าวเฉพาะ คุณประยุทธ ในช่วงเวลาที่ผมได้รู้จัก ท่านเป็นนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ที่สร้างธุรกิจ สร้างงาน สร้างเงิน ให้กับผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร และคนหนุ่มสาวในวัยทำงาน หลายแสนคน มีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล สร้างโรงงานเป็นโรงแรกถึง 5 อุตสาหกรรม คือ 1.โรงงานกาแฟสำเร็จรูป (Nescafe) 2. โรงงานผลิตฟิล์ม บีโอพีพี 3. โรงงานผลิตเหล็กไร้สนิม 4.โรงงานถลุงทองแดงบริสุทธิ์ และ 5. โรงงานผลิตเครื่องดื่มลำไยสกัดเข้มข้น P80 จังหวัดลำพูน โดยรับซื้อลำไยจากเกษตรกร วันละเป็นร้อยตัน เป็นโรงงานที่คุณประยุทธ ลงทุนโดยทุ่มเทเพื่อหวังช่วยเกษตรกรผู้ปลูกลำไย
อุตสาหกรรมและธุรกิจที่ทำเป็นแบบเปิดกว้าง แข่งขันโดยเสรี ไม่มีอภิสิทธิ์ ไม่มีงานราชการ ไม่มีสัมปทานใดๆ จากรัฐ มีการจ้างงานจำนวนมาก นำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้และพัฒนาสังคม ไม่เคยใช้อำนาจและอิทธิพลทางการเมืองมาเอื้อประโยชน์ให้แก่ตน นอกจากถูกกลั่นแกล้งจากการเมืองจนเสียหายย่อยยับ ไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท และทำให้ประเทศเสียหายเพราะผู้มีอำนาจทางการเมืองอีกปีละกว่า 300,000 ล้านบาท ถ้าเป็นคนอื่นคงทำร้ายตนเองจบชีวิตไปแล้ว
ในงานระดมทุนสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ คุณประยุทธ และกลุ่มธุรกิจ ได้บริจาค 10 ล้านบาท ช่วยพรรคที่เป็นรัฐบาลในปัจจุบัน และในช่วงวิกฤติโควิด เมื่อนายกรัฐมนตรีเทียบเชิญมหาเศรษฐีเมืองไทยเข้าพบ และขอความร่วมมือช่วยแก้วิกฤติโควิด คุณประยุทธ มหากิจศิริ กับกลุ่มบริษัทในเครือ ได้บริจาคเงินช่วยประชาชนผ่านรัฐบาลอีก 150 ล้านบาท พร้อมมอบผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม P80 ป้องกันไวรัสโควิดให้อีก ด้วยมูลค่าหลายสิบล้านบาท
20 ปี ที่ผมรู้จักมหาเศรษฐีท่านนี้ ผมจึงรู้ว่า เขามิใช่คนของพรรคการเมืองใด ไม่ใช่พวกสีเสื้อใด หากเขาจะมีจุดยืนหรือเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็คงมีเพียงพรรคๆ เดียวเท่านั้น ที่เขาจะยอมสังกัดและรับใช้ทั้งชีวิตจิตใจ คือ "พรรคประเทศไทย" เพราะบรรพบุรุษของคุณประยุทธ คือคนจีนที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของบูรพมหากษัตริย์ไทย เป็นที่ทำมาหากินจนเจริญรุ่งเรืองเป็นเศรษฐี เขาคือคนไทยเชื้อสายจีนที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ไม่เคยลืม หรือ เนรคุณต่อแผ่นดินไทย
เพราะเขาคือคนเช่นนี้แหละครับ ผมจึงยินดีและเต็มใจทำงานร่วมกับคุณประยุทธ มหากิจศิริ