***การล็อกดาวน์พื้นที่ระบาดรุนแรงจำนวน 29 จังหวัด อาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจถึงเดือนละ 3-4 แสนล้านบาท เนื่องจากพื้นที่ล็อกดาวน์ส่วนใหญ่ เป็นจังหวัดเศรษฐกิจ ซึ่งมีสัดส่วนต่อจีดีพีของประเทศรวมเกือบ 80% ซึ่งหากการล็อกดาวน์สามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้ทรงตัวในระดับไม่เกิน 2 หมื่นคน/วัน ก็เป็นไปได้ที่ความเข้มงวดของการล็อกดาวน์จะถูกผ่อนคลายลงในช่วงเดือนกันยายน
ในทางกลับกัน หากไม่สามารถควบคุม หรือ ลดจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่จนตัวเลขสูงกว่า 2 หมื่นคน/วัน มาตรการล็อกดาวน์ที่อาจถูกบังคับใช้ลากยาวจนข้ามไปถึงไตรมาสที่ 4/64 ก็อาจทำให้ประเทศไทยต้องเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยต่อเนื่องกัน 2 ปี เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 40 รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลให้จีดีพีของประเทศในปีนี้อาจจะติดลบตามมาอีกด้วย
นักวิเคราะห์จากหลายสำนักมองตรงกันว่า หากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ขยับขึ้นเป็นมากกว่า 2 หมื่นคน/วัน ดัชนีหุ้นไทยอาจจะจะปรับฐานลงไปยืนอยู่ในระดับต่ำกว่า 1,500 จุด หรือในกรณีที่แย่ที่สุดอาจลงไปแตะระดับ 1,450 จุดเลยทีเดียว แนะนำให้แบ่งไม้ซื้อ หรือปรับพอร์การลงทุนแบ่งเป็นหุ้น 50% เงินสด 50% ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพเงินในกระเป๋าของท่านนั่นเองเจ้าค่ะ
*** โหดร้ายทารุณ หุ้น 7UP ลากขึ้นไปล่อเม่า 3.58 บาท ( 27 ก.ค.) จากนั้นหุ้นถูกรินขายออกมาติดต่อกัน 4 วัน ก่อนจะปาใส่กระดาน หนัก ๆ ร่วงฟลอร์ 2 วันติดกัน หลุด 2 บาท ลงมาเหลือ 1.58 บาท
ถามว่าเจ๊เมาธ์ แปลกใจมั้ย ก็ไม่นะ !! เพราะเป็นธรรมดาของหุ้น... ดันขึ้นไป สุดท้ายใครลุกช้าก็จ่ายรอบวง แต่ที่น่าตีมือ คือ การเล่นทุบ เล่นเหวี่ยงลงแบบ “งานหยาบมาก” ทั้งๆที่ ผู้ถือหุ้น และ กรรมการก็คนดังทั้งนั้น
และถ้าถามลึกลงไปว่า หุ้น 7UP ชาติตระกูล เป็นใคร มีที่มา-ที่ไปอย่างไร ต้องอธิบายกันถึงลาก-ถึงแก่น ตั้งแต่ โครงสร้างกรรมการ ยันผู้ถือหุ้น
โดย 7Up ในอดีตเมื่อก่อนคือ บริษัท เอ็มลิ๊งค์ เครือข่ายตระกูลชินวัตร (เจ๊แดง) และเปลี่ยนชื่อไปหลายรอบ ทั้งชื่อ FER จนล่าสุดมาเป็น 7Up...
และปัจจุบันพบว่า 7UP มีชื่อของ น.ต.ศิธา ทิวารี เป็นประธานกรรมการ แล้วประธานศิธา เป็นใคร แทบไม่มีใครไม่รู้จัก ว่าเขาคือ นักการเมือง คนสนิทของ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” อย่างไรก็ตาม เจ๊ก็ต้องชมประธานศิธาหนึ่งเรื่องคือ สามารถทำให้ผลประกอบการบริษัทดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากที่เคยขาดทุน ก็กลับมาเป็นกำไรกว่า 100 ล้านในไตรมาสแรก...
*** ส่วนฝั่งผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 คือ บริษัท พาหนะ อินเวสเตอร์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นจำนวน 915 ล้านหุ้น (18.52%) ก็พึ่งจะเข้ามาถือหุ้นใน 7UP โดยซื้อจาก ADVANCE CAPITAL PARTNERS PTE., LTD. จำนวน 537 ล้านหุ้น ที่ราคา 0.41 บาท เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 64 ส่วนทางผู้ถือหุ้นอันดับที่ 2 และ 3 คือคู่พ่อลูก “สมยศ และ รชต พุ่มพันธุ์ม่วง” ที่ถือหุ้นรวมเกือบๆ 15% ขณะที่ “เจิดนภางค์ ธรรมชวนวิริยะ” ผู้ถือหุ้นอันดับที่ 5 จากกลุ่ม “Millenium auto” มีหุ้น 7UP อยู่จำนวน 2.61% (128 ล้านหุ้น)
แล้วบริษัท พาหนะ อินเวสเตอร์ เบอร์ 1 ของ 7UP เป็นใคร ???? ใครอยู่เบื้องหลังบริษัทนี้ ถือหุ้นโดยใคร ไม่ปรากฏในทะเบียนของกระทรวงพาณิชย์ BOL มีเพียงข้อมูลเบื้องต้น เป็นบริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ ทุนจดทะเบียน 60 ล้านบาท ก่อตั้งเมื่อ 4 ส.ค. 2563 หรือครบ 1 ปี พอดี ประกอบกิจการลงทุนในบริษัทในตลาด , บริษัทหลักทรัพย์ หรือกองทุนต่าง ๆ กรรมการ บ. พาหนะฯ ประกอบด้วย น.ส.ณิชมน เคารพกิตติวงศ์ , น.ส.แพร ภัทรสกล , นายพิชิต พรสิริภร , นายอภิชาต บุษยลักษณ์ , นายธราธิป ธาราธรรมรัตน์
เจ๊เมาธ์ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร หรือใครจะเขี้ยวแค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ คือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ มี ที่มา-ที่ไป ที่ไม่ธรรมดาเหล่านี้ ต่างก็มีราคาต้นทุนที่ต่ำกว่า 1 บาท ด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ราคาหุ้นของ 7UP จะวิ่งลืมตายทั้งขาขึ้นและขาลง ประมาณว่า “ตอนขึ้นก็ไม่มีแนวต้าน...ตอนลงก็ไม่มีแนวรับ” นั่นเอง....
*** หุ้นอีกตัวที่มีพฤติกรรม ไม่ต่างจาก 7UP นั่นก็คือหุ้น N….L ธุรกิจขนส่ง ที่กำลังเล่นเกมการเงิน เข้าไปปั้นหุ้น ดึงคน มีชื่อเสียง เข้ามาซื้อหุ้นพี/พี สร้างความน่าเชื่อถือ เบื้องหลังเกมนี้ มีอดีตมาร์เก็ตติ้งเก่า สุดอื้อฉาว ฉายา Black Pearl ที่กำลังหาทางกลับมายืนใหม่ในสังคมหุ้น โดยแสดงกำลังลากราคาจาก 2-3 บาท ขึ้นไปจ่อ 5 บาท ...เจ๊เมาธ์ ขอเตือนพฤติกรรมสายสีเทา ของมาร์เก็ตติ้งคนนี้ หลอกขายหุ้นนักลงทุน มาแล้วหลายราย มีคดีความถูกฟ้องจ่ายเช็คเด้งนับ 100 ล้านบาท มีประวัติเคยถูกจับเข้าคุก แต่ประกันตัวออกมาลอยนวล ทำตัวไฮโซในวงสังคม รีเทิร์น กลับมาอยู่เบื้องหลังหุ้นตัวนี้
*** อย่าไปคิดอะไรมาก ที่ราคาหุ้นของ GULF ปรับขึ้นมาแรงรอบนี้ไม่ใช่เรื่องของผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นแต่อย่างใด เป็นแค่เรื่องนักลงทุนคลายความกังวลเรื่องที่ GULF ไม่จำเป็นต้องกู้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อใช้ในการทำคำเสนอซื้อ INTUCH หลังสิ้นสุดวันที่ 4 ส.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในการทำคำซื้อเนื่องจาก GULF ได้หุ้นของ INTUCH ในจำนวนน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องกังวลว่าคำเสนอซื้อ ADVANC ซึ่งอยู่ระหว่างวันที่ 29 มิ.ย. - 13 ส.ค. ราคาหุ้นละ 120.93 บาท จะกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด สาเหตุก็เพราะทางผู้ถือหุ้นของ ADVANC ปฏิเสธไม่ขายหุ้นให้เนื่องจากคำเสนอซื้อเป็นราคาที่ต่ำเกินไปจนรับไม่ได้เท่านั้นเอง
*** ราคาหุ้นกลุ่มเรือขนส่งสินค้าแบบเทกองอย่าง PSL RCL และ TTA ในช่วงนี้เหมาะกับการยืนดูข้างเวทีมากกว่าเข้าไปลุยเองนะคะ เพราะถึงแม้ว่าค่าระวางเรือ (BDI) จะปรับสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่ถึงตอนนี้ราคาหุ้นเดินเรือเหล่านี้ก็ปรับตัวขึ้นมาสูงไม่ต่างกัน จนบางตัวอาจจะสูงเกินว่ามูลค่าที่แท้จริงก็เป็นได้ เช่นกรณีของ PSL ซึ่งนักวิเคราะห์ได้ให้เป้าไว้ที่ 24.80 บาท แต่ตอนนี้ราคาหุ้นหน้ากระดานของ PSL ก็ปาเข้าไปสูงถึง 25 บาท ส่วนทาง RCL ที่มีราคาเป้าหมายที่ 60 บาทตอนนี้ราคาหุ้นหน้ากระดานก็ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 58-59 บาท ขณะเดียวกันทาง TTA ซึ่งมีราคาเป้าหมายอยู่ที่ 19 บาท แต่ราคาหุ้นหน้ากระดานก็ปาเข้าไปถึง 17-18 บาทแล้วนะคะ ดังนั้นถ้าชอบจริงๆ เจ๊เมาธ์แนะนำว่าให้รอดูผลการดำเนินงาน 2/64 ก่อนก็น่าจะดี ตอนนี้ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องรีบก็ได้ค่ะ
*** เจ๊เมาธ์ยังคงมองว่าถ้ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่านี้ หุ้นกลุ่มธนาคารใหญ่อย่าง KBANK SCB BBL KTB และ TTB ยังอาจจะต้องย้ำเท้าอยู่กับที่ไปอีกหลายเดือน สาเหตุก็มาจากทั้งเรื่องรายได้ที่ขาดหายไปจากการพักชำระหนี้ และทิศทางดอกเบี้ยที่ยังคงเป็นขาลง ซึ่งหากไม่เป็นการมองในแง่ร้ายจนเกินไปเจ๊เมาธ์คิดว่าอาจจะต้องรอไปจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า (1/65) เราถึงจะมีโอกาสที่จะได้เห็นผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นของหุ้นในกลุ่มนี้ เจ๊ยังย้ำอยู่เหมือนเดิมนะคะ ซื้อหุ้นธนาคารวันนี้กัฐซื้อหุ้นธนาคารในอีก 3 เดือนข้างหน้า ก็แทบจะไม่มีความแตกต่างกันค่ะ