“โรงไฟฟ้าชุมชน”โผล่แหกด่านโควิด

14 ก.ย. 2564 | 11:51 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี ...โดยกาแฟขม

*** ยังอยู่ในสถานการณ์โควิด-19 แม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันจะลดลง แต่ยังคงอยู่ระดับสูงเกินหมื่นรายต่อวัน โดยตัวเลขล่าสุดวันที่ 13 กันยายน 2564 ผู้ติดเชื้อรวม 12,583 ราย ติดเชื้อในประเทศ 12,572 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ 11 ราย หายป่วยกลับบ้าน 16,304 ราย ผู้ป่วยกำลังรักษา 132,113 ราย เสียชีวิต 132 ราย คลายตัวลงมาสำหรับยอดผู้ติดเชื้อ เตียงพยาบาลเริ่มมีช่องว่างมากขึ้น ผสมผสานกับการรักษาตัวที่บ้าน ไม่ทำให้สถานการณ์เตียงพยาบาลตึงเปรี๊ยะเหมือนเดือน 2 เดือนที่ผ่านมา


*** คลายลงมาหน่อยแต่ยังวางใจไม่ได้ ว่าจะไม่กลับมาพุ่งรอบใหม่เป็น รอบ 4 รอบ 5 เหมือนในต่างประเทศที่กลับมาเพิ่มจำนวนผู้ป่วยรายวันอีกรอบ ออสเตรเลีย อังกฤษ แต่ระบาดก็ระบาดไป กรณีอังกฤษให้วัคซีนไปแล้ว ก็ปล่อยเสรี เปิดกิจกรรมทุกๆ อย่าง เป็นมาก็รักษา แต่ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิดน้อยมาก หากกระทรวงสาธารณสุขไทยจะดูอังกฤษเป็นแม่แบบ ก็น่าสนใจ แต่นั่นต้องมาพร้อมกับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเข็มแรกในระดับเพียงพอกับจำนวนประชากร ซึ่งยังคงยากเสียเต็มประดา เมื่อมีการพูดถึงวัคซีนสำหรับประเทศไทย

*** ว่าแล้วต้องย้อนกลับไปดู การแก้โควิดแบบไทย เปิดๆ ปิดๆ แง้มๆ กลายเป็นโรคก็แก้ไม่ได้ เศรษฐกิจก็พังทะลาย ตายกันทั้งหมู่ จะเปิดก็กลัวโรคกลับมาแบบเอาไม่อยู่ กรณีภูเก็ตนำร่องตอนนี้ยอดผู้ป่วยรายวันเพิ่มสูงมาก จนหวาดผวากันทั้งเมืองอีกแล้ว คราวนี้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี วางไทม์ไลน์จะเปิดประเทศกันเดือนต.ค.นี้ จะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ แต่ครั้นจะไม่เปิดก็อั้นไม่ไหว สุดท้ายจำต้องอยู่กับโควิด แต่จะอยู่อย่างไร ประชาชนทุกคนก็ได้เรียนรู้แล้ว วิธีป้องกันตนเอง วิธีการลดความเสี่ยง ติดแล้วต้องรีบตรวจรักษา เคารพคนอื่น ไม่นำตัวเป็นพาหะแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น จะมัวโทษนั่นโทษนี่ ชี้นิ้วกล่าวหาไม่ได้ แต่ต้องทำให้มั่นใจว่าตัวเองมีวินัยและความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมเพียงพอ กลุ่มเสี่ยงสูงโรคประจำตัว กลุ่มวัยชรา ผู้ใกล้ชิดก็ต้องระวังให้จงหนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าให้กลุ่มหนุ่มสาวตีปีกเผลอเรอ อันนี้ก็ไม่ควรเช่นกัน ฉนั้นแม้วัคซีนจะได้เท่านี้ เท่าไหน ก็เปิดไปเถอะ


*** ข่าวล่ามาเร็ววัคซีนไฟเซอร์เข็มแรกเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป กำลังจะมาถึงปลายเดือนนี้ ตรวจรับเสร็จสรรพก็น่าจะฉีดกันได้ต้นเดือนต.ค.ที่เหลือบอกว่าจะส่งกันจนครบไตรมาส 4 ปีนี้ มีวัคซีนเข้ามาจำนวนมาก ถ้ามีมากจริงศักยภาพในการจัดฉีดไม่มีปัญหา 9 แสนโดสต่อวันเคยทำได้มาแล้ว ขอให้วัคซีนมาจริงตามนัดเถอะ ส่วนเข็ม 3 บูสเตอร์นั้นแว่วว่าจะฉีดได้ต้นเดือน ต.ค.เช่นเดียวกัน สำหรับผู้ที่ได้รับซิโนแวคไป 2 เข็ม

*** ไม่รู้จะเป็นด้วยเหตุโควิด หรือโควิดเป็นเหตุเงียบเชียบ โผล่มาอีกที 20 ก.ย.นี้ เตรียมเปิดซองกันแล้วโรงไฟฟ้าชุมชนและประกาศผู้ชนะผู้เสนอราคาโรงไฟฟ้าชุมชน 23 ก.ย.นี้เลย มีผู้ผ่านทั้งราคาและเทคนิคเข้าไป 169 ราย ผู้สอบตกเทคนิคก่อนหน้านี้ 118 ราย ยื่นอุทธรณ์หลุดเข้ามาได้ 74 ราย อันที่จริงโครงการนี้ถ้าทำกันดีๆ ทำแบบตั้งใจ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากรากฐานได้เป็นอันมาก ให้ชาวบ้าน ชุมชนได้ผลิตสินค้าเกษตรเป็นเชื้อเพลิงขายให้กับโรงไฟฟ้าในราคาที่แน่นอน และโรงไฟฟ้านี้ก็ต้องตั้งกองทุนเพื่อให้ชาวบ้านรอบโรงไฟฟ้าได้ใช้ประโยชน์จากกองทุนนี้ด้วย 


แต่ไม่รู้ว่าหลักเกณฑ์ หลักการแบบนี้จะยังมีอยู่หรือไม่ หรือแค่นายทุนไปลงทุนแล้วเข้ามาสวมใบอนุญาต ชาวบ้านไม่ได้อะไร สุดท้ายเกรงว่าการเมืองก็สมทบผลประโยชน์เข้ากันกับเอกชน ชาวบ้านได้แต่มองตาปริบๆ มีหลายประเด็นพลังงานที่ต้องติดตามตามติดให้เป็นพลังงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง โครงการของกองทุนอนุรักษ์พลังงานที่ กุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงานนั่งพิจารณาอนุมัติเงินไปหลายล้านก็เช่นกัน ระหว่างทางการพิจารณาเป็นอย่างไร เดี๋ยวจะมาคลี่กันให้ดู ใครได้ไปตรงไหนอย่างไร ประโยชน์ตกอยู่กับใคร


*** มาแวดวงธุรกิจหนักๆ อย่างเหล็กกันบ้างล่าสุด พงศ์เทพ เทพบางจาก รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) บอกว่าเวลานี้เสน่ห์ลงทุนมันหายไปไหนหมด ดูจากที่มีธุรกิจเหล็กบางรายรอขาย แต่ไม่มีคนซื้อ สงสัยว่าคนซื้อได้ในวันนี้ คงมีแค่สองกรณี คือ จากต่างชาติที่ได้ประโยชน์ จากมาตรการทางการค้าถ้ามาอยู่ในไทย (ไม่ใช่ได้ประโยชน์เพราะต้นทุนการผลิตต่ำ) และกรณีที่สองคือ รัฐซื้อรวมมาเป็นของรัฐเอง อย่างในจีนที่โรงเหล็กมี 2 ประเภทคือของเอกชน private own และของรัฐ state own ซึ่งกรณีที่สองนี้ในไทยคงเป็นแค่ความฝัน พร้อมยอมรับแบบตรงๆ ว่า เอาเข้าจริงๆ เหล็กเป็นอุตสาหกรรมที่แข่งขันยากมากถ้ารัฐไม่สนับสนุน ทำให้การซื้อขายเป็นแค่เกมการเงิน ในการปรับพอร์ต ปรับทรัพย์สิน ตีมูลค่าใหม่ เพื่อได้ประโยชน์ในตลาด


*** สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แย้มๆ เวลานี้เริ่มมีสัญญาณบวกแว่บๆ มาให้เห็นบ้างแล้ว ทั้งการฉีดวัคซีนครอบคลุมมากขึ้น การส่งออกดี สถานประกอบการต่าง ๆ พยายามควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงานให้อยู่ในวงจำกัดมากขึ้น คาดว่าสถานการณ์ส่งออกจนถึงสิ้นปีนี้จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตอยู่ในกรอบ 12-15% แต่ยังฝากเตือนทุกส่วนที่เกี่ยวข้องว่า ยังจำเป็นต้องติดตาม 3 สถานการณ์เศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ทั้งเรื่องค่าระวางเรือที่ยังสูงต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ, การขาดแคลนชิปที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของหลายสินค้าอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มการปรับทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐฯ และการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้ต้องมาจับตาดูการเคลื่อนไหวเพิ่มเติมในช่วงนี้กันด้วย