ชีวิตคนเรานั้นหากจะมองดูแล้ว เราอาจจะคิดว่ายังเหลือเวลาอีกยาวนานมาก แต่สำหรับคนบางคนนั้น อาจจะสั้นจริงๆ ครับ โดยเฉพาะคนที่มีอายุมากอย่างผม ทุกวันนี้ผมจะมีความรู้สึกว่า วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ตื่นเช้าขึ้นมาเพิ่งจะได้ลิ้มรสของแสงทองรับอรุณได้ไม่ทันไร ก็จะต้องรอรับแสงอาทิตย์อัสดงเสียแล้ว
ทุกเช้าของวันพฤหัสบดี ผมต้องเข้ารายการวิทยุ Good Morning Asian เพิ่งจะผ่านไป ก็จะต้องเตรียมหาหัวข้อเรื่องที่จะพูดในอาทิตย์ถัดไปอีกแล้ว
บทความที่ต้องเขียนสามฉบับต่อสัปดาห์ ก็จะต้องหาเนื้อหาสาระมาเขียนอีกแล้ว แต่ละเดือนผ่านไปเร็วมาก ต้นไม้ผลที่ปลูกในที่ดินยังไม่ทันไร ก็ออกดอกออกผลให้ได้เก็บกินอีกแล้ว ตรุษจีนไหว้เจ้าเสร็จสิ้นไปไม่นาน หมู เห็ด เป็ด ไก่ และของไหว้เจ้า ที่อยู่ในตู้เย็นยังทานไม่หมด ก็ต้องมาไหว้สารทจีนอีกแล้ว
นี่ก็ใกล้สิ้นปีเข้ามาอีกครั้งแล้ว อายุก็เริ่มมากขึ้นทุกวัน จะมีเพียงแต่หัวใจที่ยังรู้สึกว่ายังหนุ่มแน่นอยู่ แต่สภาพร่างกายก็กลับทรุดโทรมลงทุกวัน จนกระทั่งเวลาเช็คร่างกาย คุณหมอต้องบอกว่าต้องเช็คให้ละเอียดขึ้นมากกว่าเดิมอีกแล้ว.....วันเวลาของชีวิตช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกินนะครับ
การเลือกที่จะใช้ชีวิต ส่วนตัวผมก็คิดนะครับว่า เรามีสิทธิที่จะเลือกเองได้ ด้วยการดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีที่สุด วันก่อนเพื่อนสนิทที่เป็นแฟนคลับจากไต้หวัน มิสเตอร์วาง ก็ได้ส่งไลน์มาเตือนผมว่า ให้ปล่อยวางให้มากๆ เพราะชีวิตคนเรานั้น ขออนุญาตนำมาแปลเพื่อแบ่งปันให้อ่านนะครับ
แต่ละช่วงของชีวิต มักจะมีอะไรที่ “ไม่ได้แตกต่างกันเลย” เช่น ในช่วงอายุ 20 ปี แหล่งพำนักที่บ้านเกิดตนเองหรือสถานที่ใหม่ ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะพอล้มตัวลงนอน ก็นอนหลับสนิทอย่างเคยชินเหมือนกัน
ในช่วงอายุ 30 ปี กลางวันกับกลางคืนก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะเราไม่หลับไม่นอนได้ทั้งคืน ก็สามารถทนอยู่ได้เหมือนกัน ในช่วงอายุ 40 ปี ความรู้ที่ได้รับหรือใบปริญญาจะมีหรือไม่มี ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะบางครั้งคนไม่มีใบปริญญาอาจจะสามารถร่ำรวยได้เหมือนกัน
พอช่วงอายุ 50 ปี คนสวย คนหล่อเหลาหรือคนขี้เหร่ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะทุกคนก็จะมีใบหน้าเหี่ยวย่น หรืออ้วนพุงพุ้ยเหมือนกัน ช่วงอายุ 60 ปี ยศถาบรรดาศักดิ์มีหรือไม่มี ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะพอเกษียณอายุ ทุกอย่างคืนสู่สามัญ คนเขาก็เลิกที่จะยกหางเรา เราก็เหมือนคนทั่วไปเหมือนกันหมด
ช่วงอายุ 70 ปี บ้านพื้นที่ใหญ่หรือบ้านพื้นที่เล็กก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะหัวเข่าเริ่มจะไม่ดี การเดินเหินมากๆ ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ช่วงอายุ 80 ปี ร่ำรวยหรือยากจนก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะมีเงินจะใช้สอย ก็ไม่รู้จะใช้สอยอะไรมาก แค่อาหารสามมื้อเหมือนๆ กัน
ช่วงอายุ 90 ปี ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะไม่มีใครสามารถสนองตอบตัณหาของตนเองได้เหมือนๆ กัน ช่วงอายุ 100 ปี จะนั่ง จะนอน จะเดินเหิน ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะแม้จะลุกนั่งหรือนอนอยู่บนเตียง ก็ไม่รู้จะลุกขึ้นไปทำอะไรเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องคอยเตือนสติตนเองไว้ตลอดว่า ในช่วงที่เรายังสามารถทำอะไรได้อยู่นี้ เราต้องรีบๆ ทำเสียเถอะ สิ่งใดที่ทำแล้วมีความสุข ก็จงอย่าปล่อยให้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์นะครับ เพราะต้องจดจำคำว่า “ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย”ไว้ตลอดเวลาครับ
ในช่วงบั้นปลายของชีวิต เราจึงต้องเสาะแสวงหาสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีเครื่องอำนวยความสะดวกสบายที่ดีตามอัตภาพ มีบ้านที่เราอยู่แล้วสบายใจ มีลูกหลานคอยปรนนิบัติดูแลเรา มีญาติสนิทมิตรสหายอยู่ใกล้เคียงกัน มีคนที่เรารู้ใจและเขาก็รู้ใจเราอยู่ด้วย
มีเพื่อนๆ คอยอยู่ให้กำลังใจเรา มีที่ที่ปราศจากการแก่งแย่งชิงดีกัน ปราศจากการอิจฉาริษยากัน ปราศจากความหวาดระแวงต่อภัยอันตรายที่อาจจะมี นี่คือความฝันอันสูงสุดของมนุษย์แล้วละครับ