แพงทั้งแผ่นดิน ฯพณฯทั่นทำอะไรอยู่

11 ม.ค. 2565 | 12:47 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ม.ค. 2565 | 19:53 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย...กาแฟขม

*** ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3748 ระหว่างวันที่ 13-15 มกราคม 2565 โดย...กาแฟขม
 

*** เป็นไปตามที่คาดการณ์หรือซีนาริโอที่วาดๆ กันไว้ สำหรับการติดเชื้อโควิดโอมิครอน หลังเทศกาลปีใหม่ที่ตัวเลขขยับ 3 พันเป็น 5 พัน เป็น 7 พัน และจะทะลุหมื่นรายต่อวันในช่วงเวลาสั้นๆ อัตราการครองเตียงในโรงพยาบาลเริ่มเพิ่มสูงขึ้น แต่เที่ยวนี้รัฐแก้ด้วยการให้รักษาอยู่ที่บ้านก่อน ถ้าหนักจึงไปรับมา ร.พ. ปัญหาสำคัญ ต้องเร็วหากอาการหนัก และการส่งข้าว ส่งน้ำ การดูแลย้อนกลับไปใช้ช่วงเหมือนช่วงก.ย.-ต.ค. 2564 ก็จะช่วยบรรเทาเบาบางลงไปบ้าง ประชาชนผู้ติดเชื้อเริ่มเรียนรู้ในกระบวนการขั้นตอนการรักษา สำนึกรับผิดชอบทางสังคมสูงมากขึ้น รู้ว่าตัวเองเสี่ยงก็จะไม่ไปในสถานที่ต่างๆ มากเพื่อไม่ให้กระจายตัวเป็นคลัสเตอร์ แต่มีบางราย บางกลุ่ม ไม่สนใจ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร สุ่มเสี่ยงแล้วยังเพ่นพ่านไปทั่ว สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านชาวช่องเขาไปด้วย

 

*** รัฐบาลสั่งให้ราชการ work from home เต็มขีดสปีดได้ แต่ต้องไม่ให้กระทบงานบริการประชาชน หน่วยงานรัฐวิสาหกิจบางแห่งทั้ง work from home, work from anywhere ทำงานจากสถานที่ไหนก็ได้ให้เสี่ยงน้อยที่สุด เอกชนหลายองค์กร ก็ให้ความร่วมมือในเรื่องการทำงาน ที่ช่วยลดความเสี่ยงในช่วงระหว่างการเดินทางทั้งไป-กลับจากออฟฟิศกลับบ้าน นำเครื่องไม้เครื่องมือด้านการสื่อสาร เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้รองรับเสมือนเผชิญหน้า พูดคุยกันจริงๆ เรียกว่าต้องปรับแผนกันตลอดเป็นเรื่องปกติใหม่หรือที่เรียกว่า NEW NORMAL กันไปแล้ว แต่ก็ขออย่าให้เป็น work from home, work from anywhere สไตล์ไทยแลนด์ ซึ่งการทำงานแบบนี้ ต้องทำจริงให้ได้ประสิทธิภาพจริง ไม่ใช่ลดประสิทธิภาพลง ให้ work from home แต่ไม่เวิร์คกลับวิ่งไปโน่นไปนี่ก็เกิดความเสียหาย หย่อนประสิทธิภาพ อันนี้ต้องยอมรับไทยต่างจากฝรั่งก็ตรงนี้ ความรับผิดชอบยังไม่เท่าได้
 

*** แพงทั้งแผ่นดินใช่ไหรือไม่ เมื่อราคาเนื้อหมูพุ่งทะยานสูงอันเนื่องมาจากวงจรการเลี้ยงมีปัญหา ประกอบโรคระบาดในหมู ที่ว่ากันจริงๆแล้วต้องตามขยายผลว่ามีการเตือนกันแล้ว แต่กลับนิ่งเฉย หรือ ประกาศเขตปลอดโรคเพื่อการส่งออกหรือไม่ เพื่อใครผู้เลี้ยงหมูรายใดเจ้าใหญ่ เจ้าเล็ก ต้องการให้เป็นเขตปลอดโรค แล้วสุมปัญหาไว้ ต้นทุนสูงวัตถุดิบอาหารสัตว์ ผู้เลี้ยงรายย่อยเจ๊ง ซัพพลายขาด ดีมานด์เท่าเดิม ราคาไม่พุ่งยังไงไหว แก้อย่างไรดี ฯพณฯ ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกสำนวนไทยว่าไว้อย่างนั้น เมื่อหมูแพง สินค้าอื่นก็ไล่ตาม ล่าสุดก็ไข่ไก่ก็ตามขึ้นไปด้วย ก่อนหน้านี้ค่าไฟฟ้าก็ขึ้น บักโกรกเลยประชาชนชาวไทย 

*** ไหนจะถูกถองเรื่องภาษีคริปโท ภาษีซื้อขายหุ้นอีก เอากันเข้าไปให้เต็มคราบ ทั้งที่รายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง งานที่ตกไปจากพิษโควิดยังหาใหม่ไม่ได้ เอาอะไรมาใช้จ่าย นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีทั้งหลาย ตรวจสอบตัวเองหน่อยตื่นเช้ามาแต่ละวันจะแก้ปัญหาให้ประชาชนอย่างไร อย่าคิดให้มันง่ายๆมากจนเกินไป หรือขอแค่เพียงมีตำแหน่งไปวันๆ ไม่ดัน ไม่คิดอะไรบนความทุกข์ยากแสนสาหัสของประชาชนกระนั้นหรือ
 

*** น้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศพุ่งตามตลาดโลก ปีใหม่มานี่ปรับหลายรอบแล้ว ที่ขึ้นและเดือดร้อนจริงๆ นอกเหนือน้ำมั้นก็เป็นสินค้าในกลุ่มอาหารสด ผักสดยังอยู่ในระดับสูง เนื้อหมูและไข่ไก่ ปรับสูงขึ้นตามต้นทุนการเลี้ยง โดยเฉพาะราคาเนื้อหมูปรับเพิ่มตามค่าบริหารจัดการโรคระบาดในหมู ปริมาณผลผลิตลดลง ผู้ประกอบการรายย่อยลดปริมาณการเลี้ยงลง น้ำมันพืช กับข้าวสำเร็จรูปและข้าวราดแกง ราคาปรับสูงขึ้นตามต้นทุนและวัตถุดิบ ที่ลดลงมีข้าวสาร ข้าวเหนียว ผลไม้สด เสื้อผ้า ค่าเช่าบ้าน ค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมการศึกษายังคงปรับลดลง จะเห็นว่าที่ขึ้นราคาก็เป็นสินค้าที่จำเป็นทั้งนั้น ยังดีที่ตรึงๆ ค่าเทอมไว้บ้าง ถ้าขึ้นไปด้วยนี่จบเห่เลย
 

***มาด้านแวดวงธุรกิจ กิจจา วงศ์วารี กรรมการบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ อโรม่า กรุ๊ป ตั้งข้อสังเกตดีๆ ให้เห็นภาพว่า เศรษฐกิจปี 2565 ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว วันนี้โควิดกลายพันธุ์ และจากนี้ไปไม่รู้จะแพร่อะไรออกมาอีก เลิกคาดหวังกับการไม่มีโควิดไปแล้ว ไม่งั้นธุรกิจจะเดินต่อไปไม่ได้ ปีนี้เศรษฐกิจจะเติบโตไปได้ทุกคนต้องช่วยกัน มาตรการที่เห็นด้วยกับรัฐบาลคือเรื่อง เที่ยวด้วยกัน คนไทยต้องไปเที่ยวกันในประเทศไทยให้มากขึ้น และมาตรการจ่ายคนละครึ่ง ถือว่าเป็นนโยบายที่ดีกระตุ้นกำลังซื้อได้ โดยรวมยังหวังว่าปี 2565 เศรษฐกิจจะดีขึ้นกว่าปี 2564
 

และที่แน่ๆ กล้าพูดเต็มปาก วันนี้อโรม่าเป็นบริษัทแรกในแง่ธุรกิจกาแฟที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม แล้ว100% เรามีพนักงานกว่า 500 คน กำลังจะฉีดเข็ม 3 แล้ว ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าเราไม่ได้ละทิ้งพนักงาน เราต้องดูกันตอนลำบากด้วย โควิดเป็นโรคทดสอบวินัยของคนในประเทศ ทดสอบความร่วมมือของคนในประเทศ หลายภาคส่วนต้องกลับไปทบทวนใหม่ ร้านรวง โรงแรมก็ไม่ควรขายสินค้าแบบปล้นนักท่องเที่ยวคนไทยด้วยกัน วันนี้แม้แต่หลายร้านอาหารดีๆ ก็ออกใบกำกับภาษีให้ไม่ได้ แบบนี้ถามว่าช่วยกันตรงไหน
 

*** ครอบครัวจิตติพลังศรี นำโดย สมศักดิ์ จิตติพลังศรี กรรมการผู้จัดการบริษัท ซัยโจ เดนกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยังคงเดินสายทำบุญ ล่าสุดร่วมกันถวายกุฏิพระจำนวน 70 หลัง 7 ล้านบาท ให้เป็นสมบัติพุทธศาสนา ทำบุญไม่ขาดสายแบบนี้ขอให้ธุรกิจแอร์ซัยโจ เด็นกิ มียอดขายปังๆ
 

*** ปตท. ห่วงใยปัญหาฝุ่น เล็งติดตั้งนวัตกรรมเครื่องตรวจวัดฝุ่น PM 2.5 เพิ่ม ในพื้นที่อุตสาหกรรมกว่า 200 จุด ปรบมือรัวๆให้กับวุฒิกร สติฐิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่มองปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาสำคัญของประเทศ ได้ต่อยอดนำนวัตกรรมเครื่องวัดค่าฝุ่น PM 2.5 มาติดตั้งในพื้นที่อุตสาหกรรมตามแนวท่อจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักเอ็นจีวี รวมถึงพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ แล้วกว่า 100 จุด ตามแผนที่วางไว้ในปี 2564 ครอบคลุมพื้นที่ 12 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ปทุมธานี สระบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ราชบุรี นครราชสีมา ปราจีนบุรี นครปฐม และพระนครศรีอยุธยา
 

พร้อมมีแผนการขยายผลไปยังพื้นที่อุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกกว่า 200 จุด ในปี 2565 เพื่อให้ผู้ประกอบการในบริเวณที่มีอุปกรณ์ติดตั้งอยู่ ได้ตระหนักและรับรู้ถึงสถานการณ์และปริมาณค่าฝุ่นละอองในพื้นที่ โดยเครื่องวัดค่าฝุ่น PM 2.5 ที่นำมาติดตั้งนั้น นอกจากจะเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาจากสถาบันนวัตกรรม ปตท. แล้ว ยังเปิดรับความร่วมมือด้านนวัตกรรมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญด้วย