*** เงินเฟ้อ คือ การมีเงินจำนวนเท่าเดิมแต่ซื้อของได้น้อยกว่าเดิม ซึ่งกรณีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีข่าวว่าเงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบ 40 ปีเท่านั้น แม้แต่ในประเทศไทยเอง สาเหตุวัตถุดิบในการประกอบอาหารหลายอย่างแพงขึ้น ก็มีสาเหตุเบื้องต้นมาจากภาวะเงินเฟ้อเช่นกัน ดังนั้น การเก็บเงินไว้โดยที่ไม่ได้นำออกมาใช้ประโยชน์เพื่อให้งอกเงยขึ้นมา จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีในภาวะปัจจุบันเจ้าค่ะ
*** หนึ่งในผลกระทบที่เกิดจากเงินเฟ้อ คือ ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำเป็นต้องวิ่งตามราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลกระทบโดยตรงกับบริษัทเจ้าของปั๊มน้ำมันอย่าง OR และ PTG เนื่องจากน้ำมันดีเซลจะถูกภาครัฐใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลในประเทศให้อยู่ต่ำกว่า 30 บาท/ลิตร และยังคงควบคุม marketing margin น้ำมันดีเซลที่ไม่เกิน 1.40 บาท/ลิตร ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 64-66 ของทั้ง OR และ PTG ถูกปรับลงไปประมาณ 4-30% ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับราคาหุ้นของบริษัทเจ้าของปั๊มน้ำมันทั้งคู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เอาเป็นว่าถ้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญขึ้นมา ราคาหุ้นของทั้ง OR และ PTG ก็จะอยู่ที่ราคาแถวๆ นี้ไปอีกนานเจ้าค่ะ
*** ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหลังจากที่มีผู้ถือหุ้นและผู้บริหารชุดใหม่ จะทำให้ PSG สามารถกลับลำจนสามารถคว้างานโปรเจ็กต์ใหญ่มูลค่าเกือบหมื่นล้านมาครองได้สำเร็จ อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ บมจ.พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น (PSG) หรือชื่อเดิมคือ บมจ.ที เอ็นจิเนียร์ริ่ง คอร์เปอร์เรชั่น (T) เป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง 4 ปี นับตั้งแต่ปี 61-63 โดยขาดทุน 186 ล้านบาท, 91 ล้านบาท และ 22 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่สิ้นไตรมาส 3/64 บริษัทมีผลขาดทุน 52 ล้านบาท โดยภายหลังการได้งานที่มีมูลค่าสูงสุดตั้งแต่เปิดบริษัทมากว่า 40 ปี ในโปรเจ็กต์ขยายกำลังการผลิตถ่านหินจาก 2.94 ล้าน เป็นขนาด 15 ล้านตันต่อปี มูลค่า 8.89 พันล้านบาท ที่จังหวัดเซกอง สปป.ลาว จะทำให้บริษัทสามารถเริ่มรับรายได้ตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 1/2565 เป็นต้นไป
เอาเป็นว่า...ถ้างานมาจริงทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา เชื่อได้ว่า PSG จะเปลี่ยนจากบริษัทที่ขาดทุนหลายปีต่อเนื่อง มาเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานเป็นบวกแน่นอน แต่ในทางกลับกัน...ถ้าไม่มีงานจริง ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นมาแรงจนติดแคชบาลานซ์ระดับ 3 (T3) ได้ขนาดนี้ ก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายกันต่ออีกแล้วว่าถ้ามีปัญหาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
*** เห็นราคาหุ้นของ ZIGA เริ่มขยับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่นอีกครั้งพร้อมกับข่าวว่า บริษัทฯ เตรียมเดินหน้าประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขาย Crypto currency ให้คำปรึกษาด้านโปรแกรมและซอฟท์แวร์ การพัฒนาเกมออนไลน์ด้วยการออกหุ้นกู้จำนวน 4,000 ล้านบาท
ถ้าจะให้พูดกันตามตรง...เจ๊เมาธ์บอกได้เลยว่าเกมนี้ไม่ง่าย ถ้าจะเอามันด้วยการปล่อยข่าวเล่นปั่นราคาตามกระแสความนิยมเรื่องการลงทุนในคริปโตฯ ก็เป็นเรื่องที่พูดแล้วง่าย แต่ทำจริงแล้วไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำได้นะคะ และเรื่องนี้ไม่ใช่ความชำนาญของทาง ZIGA เหมือนกับธุรกิจเหล็ก หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเดิมที่มีอยู่ ส่วนเรื่องหุ้นกู้จำนวน 4 พันล้านบาทที่ว่าก็เป็นจำนวนเงินที่มากกว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ ZIGA เกือบเท่าตัว (มูลค่าปัจจุบันคือ 2.8 พันล้าน) เจ๊เมาธ์ก็ได้แค่เป็นกังวลว่า ถ้าได้เงินจากการออกหุ้นกู้มาแล้ว จะไม่ได้เนื้องานอย่างที่บอกก็เท่านั้นเองค่ะ
*** น่าสนใจว่าหุ้นตัวเล็กนอกกระแสอย่าง GLORY จะสามารถดันราคากลับไปที่ไฮเดิม (8.30 บาท) ซึ่งทำได้ในวันแรกที่เปิดการซื้อขายได้หรือไม่ แต่ถ้ามองในมุมของเจ๊เมาธ์แล้วปัจจัยเด่นของ GLORY ไม่ได้อยู่ที่ผลการดำเนินงานอย่างเดียวเท่านั้น เพราะนอกจากบริษัทนี้จะเป็นบริษัทที่ทำกิจการบนเพลทฟอร์มการขายนวนิยายออนไลน์เป็นตัวแรกในตลาดแล้ว ตัวของ GLORY ยังมีจุดเด่นเรื่องจำนวนหุ้น IPO ที่นำออกมาขายมีน้อยเพียงแค่ 70 ล้านหุ้นเท่านั้น ซึ่งจำนวนหุ้นที่มีไม่มากที่ว่านี้ มันก็จะทำให้การไล่ราคาข้ามไปในแต่ละช่องทำได้ง่ายกว่าหุ้นตัวอื่นที่มีปริมาณหุ้นที่มากกว่า จริงหรือไม่จริงไม่มีใครรู้...แต่บอกได้เลยว่าการดันราคาหุ้นด้วยโมเดลแบบนี้ทำได้สำเร็จมาหลายบริษัทแล้วค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,749 วันที่ 16 - 19 มกราคม พ.ศ. 2565