***หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3784 ระหว่างวันที่ 19-21 พ.ค.2565 โดย…กาแฟขม
*** เขย่าข่าวเขย่าขวดต้นสัปดาห์นี้ ผ่านวันวิสาขบูชา วันพระใหญ่วันสำคัญทางพุทธศาสนา เกิด 3 ปรากฏการณ์สำคัญในวันนี้ เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้า ณ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ชาวพุทธถือว่า เป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง และเรียกการบูชาว่า "วิสาขบูชา"
*** ก่อนหน้าวันวิสาขบูชา สัปดาห์ก่อนเกิดเหตุการณ์กระทบจิตใจชาวพุทธ เมื่อมีบุคคล คณะบุคคล อ้างตัวกระทำการในนามของการปกป้องศาสนา ยกพวกไปข่มขู่คุกคาม ด้วยพฤติกรรมถ่อยเถื่อนกับ “หลวงปู่แสง” พระสงฆ์สูงวัยถึง 99 พรรษา ที่ความต่อมาว่าท่านป่วยเป็นอัลไซเมอร์ กระทั่งก๊วนนี้ยกพวกไปคาดคั้นเอาผิดกับท่านกระทำผิดวินัยสงฆ์ ต้องปาราชิก แต่ภาพที่ออกมาตัวท่านเองยังไม่ทราบว่าก๊วนนี้เข้าไปทำอะไร ท่านก็หยิบพระในถุงย่ามแจกจ่ายให้ตลอดเวลา ขณะที่อีกฝ่ายคาดคั้น ประหนึ่งตั้งศาลเตี้ยตัดสินพิพากษาให้ท่านต้องรับผิดให้ได้ ลองสดับตรับฟังให้ถี่ถ้วน ท่านสูงวัยขนาดนั้นจะไปประพฤติอย่างที่ยกพวกไปคุกคามกล่าวหาได้อย่างไร ฟังว่าท่านเป็นศิษย์สายหลวงปู่มั่น แม่ทัพธรรมในอดีตและตัวท่านเองผู้ถือปฏิบัติกรรมฐาน ธุดงควัตร ดำรงตั้งมั่นในศีล วัตรปฎิบัติโดยชอบมาโดยตลอด
*** พฤติกรรมของ “หมอปลา” และพวกที่ยกไปข่มขู่คุกคามพระอริยสงฆ์ จึงเป็นเรื่องที่ยากจะรับได้ ในทุกท่วงท่า ทั้งอากัปกิริยาและถ้อยคำ กระทั่งผู้ที่เรียกตัวเองว่า สื่อมวลชน หรือกระทำในนามสื่อสารมวลชน ที่ไปยืนตะโกนถกเถียงกับพระที่คอยดูแลหลวงปู่ ในลักษณะของการพิพากษาตัดสินแล้วว่า เป็นการกระทำความผิด สื่อแบบไหนกันที่ตัดสินแหล่งข่าวไปแล้ว โดยไม่สนใจใยดีในการแสวงหาข้อมูลข้อเท็จจริง สื่อแบบไหนกัน ที่ไม่คิดคำนึงถึงการให้ได้มาซึ่งภาพและข่าวต้องเป็นไปด้วยความสัตย์ซื่อ ถือตรง
*** สื่อต้องรู้จักหน้าที่และบทบาทของตัวเอง ไม่บังอาจไปสอนไปสั่ง เพื่อนร่วมอาชีพ แต่การกระทำที่เห็นนี้ มันอดไม่ได้ที่จะบอกว่า เลยนิยามของ “สื่อมวลชน” ไปไกล แต่กระทำการเหมือนแกงค์ ก๊วน ที่ใครกระทำอะไร ไม่ตรงใจ ตัวเอง ล้วนเป็นฝ่ายกระทำผิด ยึดความคิดตัวเองเป็นที่ถูกต้องที่สุด เห็นอะไรไม่ถูกใจตัวเอง ก็ยกพวกไปตะโกน ไปคุกคาม ผรุสวาท สื่อไม่ใช่ศาล ไม่ใช่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ไม่มีสิทธิ์ที่ใครจะสวมสื่อแล้วจะทำอะไร อย่างไรก็ได้ การบุกรุกล้อมหน้าล้อมหลัง ไล่ต้อน กระทำเกินขอบเขตของความเป็นสื่อหรือไม่ หวังว่าสื่อกระแสหลักทั้งหลายคงได้อบรมบ่มเพาะคนของตัวเอง คงได้กรณีนี้เป็นบทเรียนว่าท่านได้เลยธงของความเป็นสื่อไปไกลมากแล้วหรือไม่ หวนกลับมาเป็นสื่อที่เป็นที่พึ่งที่หวังของสังคมได้หรือไม่ หรือกระทำเพียงยอดวิว หรือ ยอดไลค์ โดยไม่มีจิตวิณญาณ จิตสำนึกใดใด
*** มาที่เรื่องเศรษฐกิจกันบ้าง ปั่นป่วนกันไปทั้งโลก เมื่อเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งสูงลิบเกินคาดการณ์ ทำให้ป่วนรับเป็นลูกโซ่ทั้งตลาดหุ้น ตลาดเงิน ตลาดคริปโท โดยเฉพาะตลาดคริปโท ที่ว่ากันว่าใจไม่แข็งพออย่าดูกระดาน อย่าเหลียวมองกราฟเป็นเด็ดขาด เพราะกราฟทิ้งดิ่ง ประมาณว่าเงินล้านบาท เหลือแค่ 100 เดียวในพริบตา ท่านที่กระโจนอยู่ในตลาดนี้ หรือผู้ที่เห็นกระแสแล้วอยากกระโจนเข้ามา ต้องศึกษากันให้ดีๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่กำลังคิดโยกพอร์ตลงทุนเงินออมปกติมาเล่นในตลาดนี้ ต้องตรองให้หนัก อย่าคิดว่าอะไรๆ จะได้มาโดยง่าย ไม่มีหรอกเงินไหลมากองตรงหน้าให้ตักตวงง่าย
*** เงินเฟ้อ ข้าวของแพง น้ำมันพุ่งตามหลอกหลอนไม่เลิกรา รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไปไม่เป็นในการแก้ปัญหา จะอุ้มน้ำมันต่อก็มีทีท่าไม่ไหว อุ้มไม่พอ ถมไม่เต็ม ยักตื้นติดกึกยักลึกติดกัก ก็ได้แต่หันรีหันขวาง ครั้นไม่อุ้มน้ำมันก็เป็นเงื่อนไขสำคัญไปสู่สินค้าอื่นขึ้นราคา กระทบค่าครองชีพที่ย่ำแย่ของประชาชนอยู่แล้วให้หนักยิ่งขึ้น เอาชัดๆ ตอนนี้ต้องตัดสินใจ นักบริหาร ผู้บริหารประเทศ ไม่ใช่แค่อยู่ฉีกปฎิทินให้ผ่านพ้นวันๆ ตัดสินใจเรื่อง “ลดภาษีดีเซล” แม้จะเสียรายได้แบบเต็มๆ แต่หากกระทำแล้วเศรษฐกิจไปได้ก็หมุนเวียนภาษีในรูปอื่นกลับมา ลองพิจารณาถ้าได้คุ้มเสียก็เอาเถิด หรืออาจค่อยขยับราคา ยืมเงินอนาคตมาใช้ช่วยประคองไปก่อน พร้อมการช่วยเหลือให้ตรงจุดเฉพาะกลุ่มที่เดือดร้อนจริงๆไม่ใช่อุ้มแบบหน้ากระดานเช่นนี้ ลองเลือกวิธีการดูเถิดอย่าไปสนใจเสียงก่นด่า ไม่ว่าออกทางไหนล้วนถูกก่นด่าทั้งสิ้น