*** การได้เป็นเจ้าของ แอพพิลเคชั่น “เป๋าตัง” ไม่ต่างไปจากการ “ถูกหวย” เพราะชัดเจนว่า KTB ใช้แอพ “เป๋าตัง” ในการพลิกทั้งรายได้และกำไรให้กลับมาฟื้นตัวเนื่องจาก “เป๋าตัง” คือ ทางผ่านของเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ภาครัฐอัดฉีดเข้าไปสู่ประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าจากนี้ไปจะไม่มีเงินกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีกแล้ว แต่ฐานะแอพขาย “ลอตเตอรี่” ที่ไม่ถูกบวกราคาเพิ่มก็ยังจะทำให้ “เป๋าตัง” ยังคงถูกใช้งานอย่างน้อยก็เดือนละ 2 ครั้ง ตามจำนวนของการออกรางวัล และถึงแม้รายได้ที่เกิดจาก “เป๋าตัง” อาจจะไม่มาก แต่ภาพลักษณ์ของ KTB ในฐานของการเป็นเจ้าของแอพพลิเคชั่นทางการเงิน ที่มีฐานของผู้ใชงานมากที่สุดก็จะถูกนำมาเป็นจุดขายหลักของ KTB รวมไปถึงในอนาคตยังสามารถต่อยอดไปยังธุรกรรมได้อีกมาก และแน่นอนว่าจุดขายนี้ก็จะส่งผลไปถึงราคาหุ้นของ KTB ด้วยเช่นกัน
เจ๊เมาธ์อยากจะบอกว่าจากนี้ไป ก็คงต้องจับตาดูราคาหุ้นของ KTB เอาไว้ดีๆ บอกเลยรอบนี้อนาคตไกลมากเจ้าค่ะ
*** เจ๊เมาธ์ก็ไม่อยากขัดคอสื่อบางสำนักที่บอกว่า CPH ดีหรือน่าสนใจ เพราะเห็นรูปแบบการขยับราคาหุ้นของ CPH แล้ว เจ๊เมาธ์รู้สึกเสียวสันหลังยังไงก็ไม่รู้ ถึงแม้ว่าบริษัทนี้จะค่า P/E ที่ค่อนข้างต่ำและมีผลการดำเนินงานกลับมาดีขึ้นหลังจากที่อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาหลายปี แต่แค่นี้มันยังไม่เพียงพอ อย่าลืมว่าเคยมีหุ้นอีกหลายตัวที่อาศัยสตอรี่แบบนี้ สภาพคล่องแบบนี้ รวมถึงรูปแบบการลากราคาหุ้นแบบนี้มาเชือดนักลงทุนที่แห่เข้าไปเก็งกำไรมาแล้วหลายบริษัท เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจหุ้นตัวนี้ ก็ต้องดูจังหวะและทิศทางลมให้ดีนะคะ ตอนนี้โอกาสเจ็บตัวมีมากกว่าโอกาสทำกำไรเจ้าค่ะ
*** ตราบใดที่ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังไม่จบ ราคาสินค้าพลังงงานในตลาดโลก ก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะหยุดอยู่แค่นี้ ซึ่งก็แน่นอนว่า ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน ก็ยังไม่มีที่ทางว่าจะหยุดวิ่งเช่นเดียวกัน ไม่ต้องมองไปที่หุ้นตัวอื่น...ดูอย่าง PTTEP ที่เจ๊เมาธ์บอกมาตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่เพียงแค่ 100 บาทนิดๆ ที่จนถึงเดียวนี้ราคาก็ปรับขึ้นมาสูงมากแล้ว และถ้ามองกันในระยะยาว หากว่าปลายปีนี้สงครามยังไม่จบอาจจะได้เห็นราคาหุ้นสูงสูดที่ PTTEP เคยทำเอาไว้อีกครั้ง หรืออย่างขำๆ ก็อาจจะได้เห็นราคาเป้าหมายสูงสูดที่ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ให้ไว้ 194 บาท อาจจะมาให้เห็นได้ในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน
*** ส่วนทาง BANPU ก็เป็นบริษัทที่ก่อนหน้านี้เคยพยายามที่จะสลัดเอาภาพลักษณ์ของ “ถ่านหิน” ซึ่งเป็นพลังงานยุคเก่าออกไป แต่ท้ายที่สุดเมื่อราคาถ่านหินปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบก็ทำให้ BANPU ต้องกลับมาเกาะกับภาพของบริษัทที่ทำธุรกิจถ่านหินอยู่ดี เพราะถึงอย่างไรธุรกิจถ่านหิน ก็สร้างรายได้ให้กับ BANPU ในสัดส่วนที่มากกว่า 70% ของรายได้รวม ซึ่งไม่ว่าที่ผ่านมา BANPU จะจับกระแสพลังงานสะอาดโดยการ “ฟอกขาว” ตัวให้เป็นบริษัทพลังงานยุคใหม่เพียงใดก็ตาม แต่ตราบใดที่ราคาหุ้นยังอ้างอิงอยู่กับภาพของสินค้าที่สามารถสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ ก็ยังต้องเกาะอยู่กับถ่านหิน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทอยู่ดี ส่วนเรื่องของภาพลักษณ์เอาไว้จบจากขาขึ้นของ “ถ่านหิน” เอาไว้ค่อยมาแก้ไข ตอนนี้หาเงินจากราคาหุ้นไปก่อน...อย่างอื่นเอาไว้ค่อยว่ากัน
** ส่วนทางหุ้นโรงกลั่นอย่าง TOP IRPC BCP SPRC และ ESSO ก็เป็นหุ้นอีกลุ่มที่เจ๊เมาธ์บอกมาตลอดว่า น่าสนใจ แน่นอนว่าหลักๆ ก็มาการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงก็เพิ่มมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวหลังยุคโควิดทำให้ปริมาณการขายมีมากขึ้นตามไปด้วย
ขณะเดียวกัน “ค่าการกลั่น” ซึ่งเป็นตัวชี้วัดกำไรของโรงกลั่นว่าจะมีมากหรือน้อยแค่ไหนตอนนี้ปรับขึ้นมาเป็น 5 บาทต่อลิตร ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จากเดิมที่เคยเฉลี่ยอยู่ 2 บาทต่อลิตร ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นจาก “ค่าการกลั่น” จะทำให้รายได้และกำไรของหุ้นโรงกลั่นน้ำมันในไตรมาสที่ 2/65 เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างที่นานๆถึงจะได้เห็น เพราะฉะนั้นแล้วหุ้นโรงกลั่นน้ำมันจึงเป็นหุ้นอีกกลุ่มที่น่าสนใจมากเหมือนกันค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศราฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,790 วันที่ 9 - 11 มิถุนายน พ.ศ. 2565