*** การที่ BDMS ของหมอเสริฐ (ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ) ประกาศรับซื้อหุ้นทั้งหมดของ บมจ.สมิติเวช หรือ SVH เพื่อนำบริษัทออกนอกตลาดจากเดิมที่ BDMS ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SVH อยู่แล้วในสัดส่วน 95.76% ซึ่งหากจะพูดให้ดูดีหน่อยก็สามารถพูดได้ว่า เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ของการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการของ ตลท. แต่หากจะว่ากันตามความเป็นจริง สาเหตุที่ทำให้ BDMS ยอมจ่ายค่าพรีเมี่ยมกว่า 15% เพื่อรวบเอาหุ้นจำนวนที่เหลืออยู่อีก 4.23% ของ SVH มาเก็บไว้แต่เพียงผู้เดียว ก็น่าจะเป็นเพราะความคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม เนื่องจากอนาคตของธุรกิจโรงพยาบาลยังไปได้ดี
ขณะที่ในปี 2564 ทาง SVH สามารถสร้างกำไรได้ถึง 1,491 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/65 ก็ยังมีกำไรถึง 682 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นส่วน 1 ใน 5 ของกำไรทั้งหมดที่ BDMS สามารถทำได้ และนี่ยังไม่นับรวมหลายปีที่ผ่านมา ที่ทาง SVH ทำตัวเป็นเครื่องผลิตกำไรที่ดีของ BDMS มาโดยตลอด
ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ทาง BDMS จะต้องไปแบ่งกำไรให้ใครอีกต่อไป ก็ถือซะว่าการตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นทั้งหมดของ SVH เป็นการแจกปันผลให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวน 1,430 คน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นกลุ่มสุดท้ายที่ยังมีหุ้นของ SVH ก็แล้วกัน ส่วนถ้านักลงทุนท่านได้ไม่ยอมขายและอยากจะถือหุ้นของ SVH ต่อไปก็ไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่ต้องถือหุ้นนอกตลาดก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ
*** ความน่าสนใจของ OR ไม่ได้มีอยู่เพียงแค่ราคาหุ้นที่น่าสนใจเนื่องจากปรับลงมาอยู่ในระดับที่แทบจะต่ำที่สุด ตั้งแต่เข้าตลาดมาเพียงเท่านั้น เพราะหากพิจารณาไปถึงแนวโน้มของธุรกิจในอนาคตในระยะเวลา 5 ปี นับจากนี้ ก็ยังพบว่าธุรกิจของ OR ยังมีแนวโน้มที่ยังไปได้ดี โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจ Non-Oil ที่ขยับเพิ่มสัดส่วนของรายได้ที่มากขึ้น ขณะที่ส่วนของสถานีชาร์จประจุไฟฟ้ารถ EV ซึ่งสร้างรายได้มากขึ้นตามสัดส่วนของรถ EV ที่กำลังได้รับความนิยม อย่างไรก็ตามจุดที่น่าสนในที่สุดของ OR กลับเป็นการที่มีบริษัทแม่อย่าง PTT รวมไปกลุ่มของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ไม่มีแนวโน้มว่าจะขายหุ้นของ OR ออกมา ดังนั้น คำว่ามีทุนก็ซื้อเพิ่มและไม่ขายไม่ขาดทุนจึงสามารถได้กับ OR นั่นเอง
*** ราคาหุ้นของ ITD กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง แม้จะไม่ได้มาจากธุรกิจรับเหมาที่เป็นความถนัดของ ITD แต่เนื่องจากความเป็นบริษัทใหญ่ที่อยู่มานาน...มีโครงข่ายทางธุรกิจเยอะจึงทำให้ธุรกิจยังพอไปได้ ล่าสุดราคาหุ้นของ ITD เริ่มขยับตัวหลังจากที่มีแนวโน้มว่า ITD จะลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ ITD ถือหุ้นทางอ้อมจากเดิม 90% ลงมาเป็น 50% เนื่องจากบริษัทกำลังทวีมูลค่ามากขึ้น ภายหลังจากที่ ครม. เห็นชอบให้เดินหน้าโครงการเหมืองแร่โปแตซ จังหวัดอุดรธานี เพื่อช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบที่เป็นสาเหตุของราคาปุ๋ยแพง โดยคาดว่า ITD จะสามารถขายหุ้นของ บ. เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น ในราคาสูงกว่ามูลค่าเงินลงทุน 4 เท่า จะทำให้เกิดกำไรเกิดราว 5.2 พันล้านบาท ช่วยเพิ่มมูลค่าตามบัญชีให้ ITD ได้อีก 1.00 บาท/หุ้น
อย่างไรก็ตาม รายได้ที่มาจากการขายสัดส่วนการถือหุ้นในเหมืองโปแตชจะเข้ามาถึงเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ แต่ที่รู้อยู่แล้วแน่นอนก็คือการที่ ITD ทำธุรกิจขาดทุนมาตลอดเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นใครจะชอบ...จะเข้าไปเก็งกำไรอย่างไรก็เกรงใจผลกการดำเนินงานบ้างนะคะ เจ๊เมาธ์ได้ข่าวว่าปีนี้ยังไม่ดีขึ้นเจ้าค่ะ
*** ราคาหุ้นของ SELIC ปรับตัวขึ้นสูงถึงเท่าตัวโดยใช้ในการซื้อขายเพียงแค่ 3 วัน และเป็นการปรับราคาขึ้นมาแรงๆ โดยที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆจากผู้ดูแลตลาดฯ และการขยับราคาขึ้นมาแรงแบบนี้ก็เป็นไปแบบเดียวกับหุ้นพีอีต่ำ ที่ลากเอานักลงทุนขึ้นไปติดอยหลายตัวก่อนหน้านี้ ซึ่งถ้าหากไม่คิดอะไรมาก กรณีของ SELIC ถ้าดูแค่ตัวเลขของรายได้ กำไร และค่าพีอี ของบริษัทก็จะเห็นว่าทุกอย่างดูดีมากไม่ต่างกับหุ้นพีสวยตัวก่อนหน้า จะแตกต่างกันคือ SELIC มีประเด็นเรื่องการขายหุ้นเพิ่มทุน ให้แก่ วิฑูรย์ ว่องกุศลกิจ จำนวน 89.286 ล้านหุ้น ในราคา 2.80 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 250 ล้านบาท ซึ่งทั้งตัวของ “วิฑูรย์” และนามสกุล “ว่องกุศลกิจ” ถือว่าเป็นที่รู้จักกันอยู่แล้วในตลาดหุ้นไทยว่าคนในตะกูลนี้ไม่ธรรมดา
อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์ก็แค่ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมหุ้นพีอีสวยไม่ว่าจะสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนแค่ไหน ก็จะได้สิทธิ์ในการลากราคา ส่วนหุ้นพีอีต่ำที่กำลังสร้างฐานกลับถูกเตะตัดขาอยู่ตลอดเวลา รบกวนช่วยบอกมาทีว่า ตกลงแล้วข้อกำหนดมันคืออะไรกันแน่ค่ะ เจ๊เมาธ์อยากรู้ว่าใช้มาตรฐานเพื่อป้องกันความเสียหายหรือว่าใช้ความพอใจกันแน่
*** เฮ้อ...สุดท้ายแล้ว CBG ของน้าแอ๊ดก็ยังเล่นอยู่กับกรอบราคา 100-110 บาท อย่างไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม อาจจะเสียหายบ้างสำหรับนักลงทุนที่หวังว่า CBG จะสามารถข้างธรณี 110 บาทไปได้ แต่ถ้ามองในอีกมุม เมื่อรู้ว่าเล่นในกรอบราคาแค่นี้ ก็เป็นโอกาสให้ทำกำไรด้วยการเล่นรอบได้เหมือนกันนะคะ ถ้าไม่คิดมาก...ได้น้อย ดีกว่าไม่ได้อะไรค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,797 วันที่ 3- 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2565