การประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565
ได้ลงมติป้องกัน ไม่ให้กัญชา กัญชง ใบกระท่อม บุกศาสนสถาน จะทำให้พระเสียพระ (สมณสารูป)! จึงประกาศห้ามพระภิกษุ สามเณรเสพ และห้ามเพาะปลูกในที่ ธรณีสงฆ์
พร้อมกับสั่งให้เจ้าคณะที่ปกครอง (เช่นเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล และเจ้าคณะที่ใกล้ตัว) ให้เข้มงวดกวดขัน ไม่ให้เกิดขึ้นโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ
แต่อนุญาตให้เสพ ให้ดื่มได้ กรณีที่ใช้เพื่อรักษาโรค ตามที่แพทย์สั่ง
ในขณะเดียวกัน บางฝ่ายเห็นว่าคำสั่งดูอ่อนมาก เพราะไม่มีบทลงโทษอะไร ให้หวาดเกรง เกรงว่าจะละเมิดได้ง่าย
ท่านบอกว่าดีที่สุด ให้ขอความร่วมมือจากสังคมให้คอยตรวจสอบ ถ้าพบพระคุณเจ้าเสพกัญชา กัญชง จนหูตาลาย เคี้ยว หรือดื่มน้ำกระท่อมจนจิตหลอน คุมสติไม่อยู่ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เพื่อนำตัวส่งฝ่ายปกครอง เพื่อให้สึกหาลาเพศ (จับสึก) เพราะเสพของพวกนี้ แม้ว่า ไม่ผิด กฎหมาย ไม่มีบทลงโทษทางพระวินัย (ไม่เป็นอาบ้ติ)
แต่ชาวโลกติเตียน ที่เรียกว่า โลกวัชชะ ซึ่งเคยใช้แก่พระที่ดื่มสุราเมามายหลายรายมาแล้ว
มติมหาเถรสมาคมที่เป็นของใหม่ มีเพียงห้ามเพาะปลูกกัญชา กัญชงในที่ธรณีสงฆ์ เท่านั้น
ถ้าปลูกเพื่อกินรักษาโรค จะมีความผิดไหม ไม่มีคำตอบ
ดังนั้น มติ มส.ครั้งนี้ มันดิบๆ สุกๆ ในเมื่อทางราชการว่า ทำได้ฟรีไม่ผิดกฏหมาย แต่คณะสงฆ์ว่าห้ามทำเยี่ยงคฤหัสถ์ จะเสียสมณสารูป (เสียพระ)
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้ กัญชา กัญชง ใบกระท่อม พ้นสภาพยาเสพติดประเภท 5 ลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2465
หลังจากประกาศนี้ กรุงเทพมหานคร ประกาศให้สถานศึกษาทุกแห่งเป็นเขตปลอดจาก กัญชาและกัญชง เพื่อป้องกันนักเรียน และบุคคลากร ทางการศึกษาเข้ามาเกี่ยวข้อง
ส่วนศาสนสถานเพิ่งประกาศเป็นเขตปลอดจากกัญชา กัญชง ใบกระท่อม เมื่อ 30 มิถุนายน 2565 ทั้งๆ ที่สื่อมวลชน รวมทั้งฐานเศรษฐกิจ เรียกร้องให้ มหาเถรสามาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ) เร่งรัดหามาตรการป้องกันอย่างเร่งด่วนมาก่อนแล้ว
ทั้งนี้ก็ด้วยความเป็นห่วงศาสนา อันเป็นสถาบันหลักของชาติ สถาบันหนึ่ง นั่นเอง
ส่วน มติ มส.นั้น อกกมาช้า ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย